พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย และ มาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ นำแถลงผลการประชุมศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.)
รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า “กระแสข่าวที่เกิดขึ้นบนสื่อสังคมออนไลน์ และช่องทางอื่นๆ ที่กล่าวหาว่าฝ่ายไทยใช้โดรนบินในน่านฟ้าของกัมพูชา และมีการขุดแนวร่องลึก หรือคูเลต รวมถึงการระดมอาวุธ การก่อสร้างสิ่งปลูกสร้าง และมีการเสริมกำลังตามแนวชายแดนนั้น รัฐบาลไทยขอยืนยันว่าการดำเนินการทั้งหมดอยู่ในพื้นที่ที่เป็นเขตอธิปไตยของประเทศไทย ไม่มีการลุกล้ำน่านฟ้าและแผ่นดินของกัมพูชาแต่อย่างใด และยังคงกำลังเช่นเดิม จึงขอปฏิเสธคำกล่าวหาที่ระบุว่าไทยละเมิด MOU 2543 ซึ่งเป็นสนธิสัญญาที่ทั้งสองฝ่ายมีพันธะกรณีที่ต้องยึดถือและปฏิบัติตามร่วม และขอให้ฝ่ายกัมพูชาปฏิบัติตาม MOU 2543 เช่นกัน”
ทั้งนี้ รัฐบาลไทยยังคงเชื่อมั่นว่ากลไกทวิภาคีในการเจรจาระหว่างสองฝ่าย ยังเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพ และเหมาะสมที่สุดในการแก้ไขปัญหาเขตแดนระหว่างกัน ซึ่งสอดคล้องกับธรรมเนียมปฏิบัติสากล โดยฝ่ายไทยหวังว่าการประชุม JBC (Joint Boundary Commission) สมัยพิเศษ ที่ไทยเป็นเจ้าภาพในเดือนกันยายน 2568 จะเป็นการวางพื้นฐานสำหรับการทำงานร่วมกันต่อไป และทั้งสองฝ่ายจะสามารถตกลงสำหรับการประชุม RBC (Regional Border Committee) ในระดับแม่ทัพได้โดยเร็ว
ด้านรองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย กล่าวว่า “ขอให้ความเชื่อมั่นกับประชาชนว่าการปฏิบัติการทางทหารโดยกองกำลังในพื้นที่ 3 กองกำลังที่มีพื้นที่รับผิดชอบชายแดน ทั้งกองกำลังสุรนารี กองกำลังบูรพา และกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ยังคงดำเนินการเฝ้าระวัง และปฏิบัติการทางทหารตามแนวทางของกองทัพอย่างต่อเนื่องในพื้นที่อธิปไตยของไทย โดยที่ผ่านมา สถานการณ์โดยทั่วไปไม่มีเปลี่ยนแปลง”
ขณะที่ประเด็นที่มีผลกระทบต่อประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแรงงานและเกษตรกร รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาชน โดยกระทรวงแรงงานพร้อมให้การสนับสนุนแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการจำกัดคน และเวลาเข้าออกด่านผ่านแดน โดยกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานพร้อมให้การสนับสนุนจัดหางานทดแทนให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบ ส่วนแรงงานไทยในกัมพูชา รัฐบาลได้จัดเตรียมมาตรการในการช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ทั้งนี้ ขอยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีนโยบายผลักดันแรงงานกัมพูชากลับประเทศแต่อย่างใด
ส่วนมาตรการทางด้านเกษตรกร เนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดูการผลิต ซึ่งผลผลิตต่างๆ ผลิตออกมาแล้วกว่าร้อยละ 90 กระทรวงพาณิชย์ยังคงมีมาตรการในการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ ผ่านการประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมถึงผู้ค้าปลีก และผู้ค้าส่ง ห้างร้านท้องถิ่น และการจัดงานผลไม้ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยยังมีช่องทางการกระจายสินค้า รวมทั้งได้รับความร่วมมือจากไปรษณีย์ไทยในการจัดส่งผลิตภัณฑ์สินค้าต่างๆ ทางไปรษณีย์
สำหรับเกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด กระทรวงพาณิชย์ได้มอบหมายให้พาณิชย์จังหวัดในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดน ประสานงานในการจัดหาพื้นที่ที่จะนำสินค้าพืชผักผลไม้ออกจำหน่ายให้กับประชาชนได้อย่างทันท่วงที พร้อมย้ำว่าทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือกับการรับซื้อและการจำหน่ายสินค้าของเกษตรกรเป็นอย่างดี