เรื่องมันมีอยู่ว่า   หาความจริง เห็นอนาคต

6 มิ.ย. 2568 - 00:51

  • เรื่องมันมีอยู่ว่า เปิดความหมายที่ซ่อนเร้น

  • เบื้องลึก หลังข่าวที่ห้ามพลาดแม้หนึ่งบรรทัด

  • ขุด คุ้ย ทุกข้อมูล เพื่อหาความจริง และเห็นอนาคต

เรื่องมันมีอยู่ว่า   หาความจริง เห็นอนาคต

เรื่องมันมีอยู่ว่า  กับกระแสการปรับ ครม. เกิดอะไรขึ้นกับการยึดเก้าอี้คืน เพื่อไทยอาศัยอะไรที่ไปกล้าหักภูมิใจไทย  อนาคตภูมิใจไทยจะเป็นอย่างไร   และเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชาที่ระอุทุกชั่วโมง ท่าทีรัฐบาลที่ขัดใจคนทั้งประเทศ จะเป็นอย่างไร  มีคำตอบในเรื่องมันมีอยู่ว่า


เบื้องหลัง ‘อนุทิน’พ้น มท. 1

ข้อเสนอที่ไม่สามารถปฏิเสธได้

แน่นอนแล้วว่า จะมีการปรับ ครม. อยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็ว  เสาร์อาทิตย์นี้ ทูลเกล้าฯถวายรายชื่อเลย  หรือ‘จบ’ไม่เกินกลางเดือน


ส่วนใครจะอยู่ ใครจะไป ใครจะต้องย้ายกระทรวง  แม้ตอนนี้ ครม.ใหม่ยังไม่นิ่ง   แต่ที่ ‘ปิดเกม’ เรียบร้อยโรงเรียนเพื่อไทยไปแล้วคือ  ‘อนุทิน ชาญวีรกุล’ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย โดนปรับพ้นจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย  ส่งมอบเก้าอี้ มท. 1 ให้พรรคเพื่อไทย ที่จะส่ง ‘ประเสริฐ จันทรรวงทอง’ มาเป็นรัฐมนตรีแทน


ขอย้ำว่า ‘โดนปรับออก’  ไม่ใช่ภูมิใจไทยยอมแลกกระทรวง   จะเรียกว่าแลกกระทรวงได้ยังไง ในเมื่อกระทรวงศึกษาธิการที่มีข่าวว่า อนุทินจะไปเป็นรัฐมนตรี ก็เป็นของพรรคภูมิใจไทยที่ ‘เนวิน ชิดชอบ’ ส่งน้องชาย ‘พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ’ มานั่งเป็นรัฐมนตรีอยู่แล้ว 


มันเป็นข้อเสนอของทักษิณ ชินวัตร ที่พรรคภูมิใจไทย ‘ไม่อาจปฏิเสธได้ ’


ก่อนหน้านี้ พรรคภูมิใจไทย แม้จะเป็นพรรคอันดับสองมี สส. 69 เสียง ไม่มาก ไม่น้อย แต่ก็มากพอที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง ‘เขย่า’ รัฐบาลได้ หากมีการพลิกขั้วขึ้นมา    และยังมี สว. สีน้ำเงินที่มีอำนาจเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ รวมทั้ง การโหวตแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นขุมกำลังอีกส่วนหนึ่ง


พรรคภูมิใจไทยจึงเชื่อในอำนาจต่อรองของตนว่า   จะทำให้พรรคเพื่อไทยไม่กล้ามา‘ตอแย’ ทวงคืนเก้าอี้ไม่ว่ากระทรวงไหน  เพราะกลัวว่าจะกระทบกระเทือนเสถียรภาพรัฐบาล  ถ้าพรรคภูมิใจไทยเกิดไม่พอใจขึ้นมา


ดังนั้นเมื่อพรรคเพื่อไทยยื่นคำขาดว่า  ‘ให้คืนกระทรวงมหาดไทย’ มา หรือไม่ก็ต้องออกไปจากรัฐบาล  จึงสร้างความ ‘ตกตะลึง’ ตั้งตัวไม่ติด   ต้องแก้เกมเพื่อรักษาหน้าว่าถ้าจะปรับ ครม. ก็ขอให้ปรับใหญ่  ‘รีเซต’ กันใหม่ทั้งชุด พรรคภูมิใจไทยจะได้ไม่ถูกมองว่า ‘โดนบีบ’  แต่ข้อเสนอนี้ เป็นแค่ข่าวออกสื่อ เพราะพรรคเพื่อไทยไม่ได้รับข้อเสนอใดๆจากพรรคภูมิใจไทยทั้งสิ้น


รวมทั้งมุมมองของนักวิชาการบางคนที่เออออห่อหมกกับค่ายสีน้ำเงินมาตลอด  พยายามชี้ให้เห็น ‘ข้อเสีย’ ของการที่พรรคเพื่อไทยดึง กระทรวงมหาดไทย ไปกำกับดูแลเอง ก็เป็นความพยายาม ‘SAVE’ ภูมิใจไทย ไม่ให้เสียฟอร์มไปมากกว่านี้


ทำไมพรรคเพื่อไทยจึงไม่กลัวว่า ไปกดดันพรรคภูมิใจไทยอย่างนี้แล้ว  ถ้าพรรคภูมิใจไทยไม่พอใจ ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล   รัฐบาลนายกฯแพทองธารจะไปต่อลำบากเพราะจะมี สส. เกินครึ่งสภา แค่ 4-5 เสียงเท่านั้น


เรื่องมันมีอยู่ว่า  ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อ่านขาดว่า พรรคภูมิใจไทยไม่ต้องการจะเป็นฝ่ายค้าน  สี่ปีที่ร่วมรัฐบาล ‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา’  ที่ได้คุ้มกระทรวงใหญ่อย่างคมนาคม และสารณสุข กับอีกปีกว่าๆ ในรัฐบาลนี้    ทำให้พรรคภูมิใจไทยเห็นประโยชน์ที่จับต้องได้ของการเป็นรัฐบาล


ยังไงเสียถ้าไม่ได้มหาดไทยจริงๆ ก็ไม่เป็นไร  ขอให้ได้ ‘ร่วมรัฐบาล’ ก็แล้วกัน   เพราะไม่ว่าจะได้คุมกระทรวงไหน  พรรคภูมิใจไทยก็สามารถสร้างสรรค์โครงการออกมาได้เสมอ


กลัวแต่ว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่หยุดเพียงแค่นี้  เพราะกระแสข่าววงในออกมาว่า  จะเอาทั้งกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงศึกษาที่พรรคภูมิใจไทย เพิ่งจะผลักดันโครงการ‘แจกแท็บเล็ต’ นักเรียน ม. ปลาย 1.2  ล้านคน ใช้งบประมาณกระทรวงศึกษาธิการ 29,765 ล้านบาท เป็นงบผูกพันปี 2569-2573 ปีละ 5,953 ล้านบาท ผ่าน ครม. เมื่อต้นปีนี้ ตอนนี้กำลังร่าง ทีโออาร์  วางสเป็กให้ตรงเป้า


ต้องดูกันว่า  ถ้าพรรคเพื่อไทยจะเอา กระทรวงศึกษาธิการจริง ๆ  พรรคภูมิใจไทยจะยอมถอยให้อีกไหม  ถ้ายอมอนุทินที่ ‘โดนปรับออก’ จากมหาดไทย จะไปอยู่กระทรวงไหนที่อยู่ในเกรดเดียวหรือใกล้เคียงกับกระทรวงมหาดไทยหรือกระทรวงศึกษาธิการ

<<<<<<<<<<<<<>>>>>>>>>>>>>>>

ฟางเส้นสุดท้ายบ้านจันทร์ส่องหล้า

ถีบ‘ภูมิใจไทย’พ้นรัฐบาล

คนที่จุดประเด็นและเร่งเกมปรับ ครม. ทวงคืนเก้าอี้กระทรวงมหาดไทย จากพรรคภูมิใจไทย คือ ‘ทักษิณ ชินวัตร’   ที่สวมบทสื่อวิเคราะห์การเมือง คราวที่ไปแสดงความยินดีวาระวันก่อตั้ง สื่อใหญ่ค่ายบางนาวันที่ 30 พฤษภาคมนี้เอง


ไม่ใช่ ‘พลั้ง’ ปากพูด กลอนพาไป แต่เป็นความตั้งใจ เตรียมตัวมาจากบ้านแล้ว ที่จะพูดออกไปอย่างนั้น 


แม้จะบอกว่าอยากให้พรรคเพื่อไทยคุมกระทรวงมหาดไทย เพื่อผลักดันนโยบาย เตรียมรับการเลือกตั้งอีก 2 ปีข้างหน้า  แต่แรงผลักดันที่แท้จริงคือ ‘ความหมั่นไส้’ เจ้าของรหัส มท. 1 อนุทิน ชาญวีรกูล


ก่อนหน้า 1 วัน 29 พฤษภาคม ‘เสี่ยหนู’ ใช้เวลาว่างช่วงเข้า ก่อนประชุมร่างงบประมาณ 2569  ที่รัฐสภา อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย คงเห็นว่ามี‘เวลาว่าง’ ช่วงเช้าก่อนไปประชุมร่างงบประมาณ 69 วาระแรก ที่สภาฯ ไปออกรายการเรื่องเล่าเช้านี้  ของ ‘เฮียยุทธ’ สรยุทธ สุทัศนะจินดา


อุตส่าห์ตั้งหลักงัดคำตอบหล่อ ๆ ได้ซักพัก กระทั่งเจอ ‘จี้’ ให้ตอบตรงๆ อย่าไปเลี้ยวเข้าหลักการให้เสียเวลาก็เลยเริ่ม ‘ลิ้นพันกัน’ ว่า หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง ในโครงสร้างรัฐบาลแบบนี้ หรือเป็นแบบขัดตาทัพ ‘จะไม่รับตำแหน่งนายกฯ’ โดยย้ำแบบลืมไปว่า จะไป ‘จี้ใจดำ’ ใครบางคนว่า หากเป็นนายกฯต้องเป็นด้วยความ ‘สมาร์ท’


ก่อนมาขยายความต่อว่า คิดไปถึงการเลือกตั้งครั้งหน้าว่า ถ้าจะเป็นต้องมีเสียง สส.มากที่สุดในพรรคร่วมรัฐบาล พร้อมขยายอีกว่า ต้องสง่างาม-ไม่เป็นเบี้ยล่างใคร-สั่งการได้


สิ่งที่  ‘อนุทิน’ พรั่งพรูออกมานั้นก็ไม่ผิด เพียงแต่หลายๆคำมันตรงกันข้ามกับสภาพการณ์และที่มาของรัฐบาลปัจจุบัน อันตีความได้ว่า ‘นายกฯ อิ๊งค์-รัฐบาลเพื่อไทย’ ไม่สมาร์ท-ไม่สง่างาม อย่างไรอย่างนั้น


หรือการแบะท่าพร้อมจับมือกับ ‘ค่ายสีส้ม’ พรรคประชาชน หากไม่มีประเด็น ‘มาตรา 112’ซึ่งอ่านได้ว่า จงใจ ‘ขู่กรรโชก’ พรรคเพื่อไทยโดยดึงพรรคประชาชน มาเป็นเครื่องมือในการสร้าง ‘อำนาจต่อรอง’ ที่ขนาด ‘ตี๋เท้ง’ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ก็ยังอ่านออก จึงไม่โดดรับลูกแต่อย่างใด


ซีนที่ ‘เสี่ยหนู’ ไปจ้อหล่อๆออกทีวี ก็เลยทำให้ ‘ฟางเส้นสุดท้าย’ ขาดผึง เพราะผู้ดูทางบ้านอย่าง ‘บ้านจันทร์ส่องหล้า’ ทั้งสาขาจรัญสนิทวงศ์ สาขารามอินทรา หรือที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ถึงกับหัวร้อน ‘เปล่งวาจาผรุสวาท’ ออกมาเป็นชุด  ก่อนทุบโต๊ะเปรี้ยงว่า  ‘ไม่เอามันไว้’ โดยพร้อมเพรียง


นำมาซึ่งการเปิดปฏิบัติการยึด ‘มหาดไทย’ พร้อมรุกคืบไปถึง ‘ศึกษาธิการ’​ ตามธงจากแดนไกล ที่กำลังจะโดนเบี้ยวโปรเจ็กต์ ‘แจกแทปเลต’ อยู่พอดี


กลายเป็น ‘ข้อเสนอที่อยากให้ปฏิเสธ’ จะได้แตกหักกันไปให้แล้วๆ จะได้ถีบส่ง ‘แก๊งสีน้ำเงิน’ ไปเป็นฝ่ายค้าน เคลียร์เก้าอี้เสนาบดีว่างได้ตั้ง 8 ตัว แก้ปัญหา ‘เสียงปริ่มน้ำ’  ก่อนเปิดประชุมสภาฯสมัยหน้าต้นเดือนกรกฎาคมทันสบายๆ

<<<<<<<<<<<<<>>>>>>>>>>>>>>>

ระวัง ประกายไฟที่ช่องบก

ลามทุ่งเผาผลาญ ‘แพทองธาร’

ประเทศไทยกลายเป็นลูกไล่เขมรเข้าไปทุกที  นี่คืออารมณ์ความรู้สึกที่กำลังก่อตัวขึ้นในหัวใจคนไทยทั้งชาติ  ที่ได้เห็นท่าทีเฉยเมย  เป็นทองไม่รู้ร้อนของรัฐบาลนายกฯแพทองธาร ชินวัตร ต่อความขัดแย้ง ไทย-กัมพูชา ที่ชายแดนช่องบก อุบลราชธานี


ในขณะที่กัมพูชาเปิด ‘เกมรุก’ สงครามข้อมูล ข่าวสารเต็มรูปแบบ  ‘สมเด็จฮุนเซ็น’ ดันลูกชายนายกรัฐมนตรี ‘ฮุน มาเน็ต’ แสดงภาวะผู้นำอย่างเต็มที่  ขณะที่เจ้าตัวใช้เฟสบุ๊ก Somdech Hun Sen of Cambodia ยืนยันว่า กัมพูชาเป็นเจ้าของพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต


กว่ารัฐบาลไทยจะ‘ขยับตัว’ ออกแถลงการณ์แสดงท่าทีอย่างเป็นทางการ ต้องรอถึงหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ  แต่ออกมาแล้ว ยิ่งสร้าง ‘ความผิดหวัง’ เจ็บใจ เพราะแทนที่จะยืนยันในความเป็นเจ้าของพื้นที่พิพาท  กลับแสดงท่าทีอ่อนน้อม ‘หน่อมแน้ม’ ว่า จะแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี ผ่านโต๊ะเจรจา คณะกรรมการเขตแดนร่วมหรือ JBC ที่ไทยขอให้กัมพูชาเป็นเจ้าภาพจัดประชุมในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ 


คล้อยหลังแค่ 24  ชั่วโมง ฮุน มาเน็ต ออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่า ‘ไม่เจรจา’กับไทย  ขอใช้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลก เป็นเวทีตัดสิน


เหมือนเขมร ‘ตบหน้า’ รัฐบาลไทยฉาดใหญ่  นายกฯแพทองธาร คงไม่รู้สึกอะไร เพราะการ‘ต่อล้อต่อเถียง’กับนักข่าวสำคัญกว่า  แต่คนไทยทั้งประเทศหน้าชา และงงๆว่า  ทำไมนายกฯ และพ่อนายก จึงนิ่งดูดายปล่อยให้ฮุนเซ็นและลูก แสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อประเทศไทยถึงเพียงนี้


มันยิ่งทำให้กระแสข่าวที่ว่า  ‘ตระกูลชินวัตร’ กับ ‘ฮุนเซน’ มีสายสัมพันธ์ด้านผลประโยชน์ร่วมที่ลึกซึ้งเกินกว่า ความสัมพันธ์ฉันท์ผู้นำประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง


เรื่องชาตินิยม เรื่องบูรณภาพเหนือดินแดน  ไม่ว่าที่ไหนๆในโลก ไม่มีใครยอมใคร  ถึงแม้ผู้นำประเทศจะแอบไปเจรจาตกลงกัน แต่ประชาชนไม่ว่าชาติไหน ไม่มีใครยอม


คนไทยมีความแตกแยก แตกต่างกันทางความคิดเห็นมาเกือบ 2 ทศวรรษแล้ว   มีเรื่องความขัดแย้งกับกัมพูชานี่แหละ ที่เกือบทุกคน ‘เห็นพ้องต้องกัน’ ว่า   พื้นที่ชายแดนบริเวณช่องบก ไปจนถึงปราสาทตาเมือนธมนั้น เป็นของไทย  อย่าไปยอมเขมร  ต้องรักษาบูรณภาพเหนือดินแดน


ไม่มีใครอยากให้เกิดสงคราม การสู้รบ จะใหญ่หรือเล็ก ล้วนนำมาซึ่งความสูญเสีย สิ่งที่คนไทยอยากเห็นคือ รัฐบาล และนายกรับมนตรีที่มี ‘ภาวะผู้นำ’  ยืนยันอย่างชัดเจน เข้มแข็งว่า ประเทศไทยมีอธิปไตยเหนือดินแดนตรงนั้น  และจะไม่ยอมให้กัมพูชารุกล้ำเข้ามา


นายกฯแพทองธาร  กับพ่อนายก จะรู้ตัวหรือไม่ว่ากำลัง ‘ยืนอยู่คนละฝั่ง’ กับคนไทยทั้งประเทศ ในเรื่องนี้ ยิ่งเป็นนายกฯที่ ‘ภูมิคุ้มกันบกพร่อง’ เพราะ ‘ไร้ความสามารถ’   ระวังประกายไฟที่เกิดจากปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา จะขยายวงไหม้ลามทุ่งเกินกว่าจะรับมือไหว

<<<<<<<<<<<<<>>>>>>>>>>>>>>>

 

                      

          

 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์