ปริเยศ อังกูรกิตติ โฆษกพรรคไทยสร้างไทย ตำหนิการทำงานของรัฐบาล กรณีการรับมือกับมาตรการกำแพงภาษีนำเข้าจากสหรัฐอเมริกาภายใต้รัฐบาลของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ล่าสุดออกจดหมายยืนยันตั้งกำแพงภาษีสินค้าจากไทยในอัตรา 36% โดยเริ่มมีผลวันที่ 1 สิงหาคม 2568
ปริเยศ พยายามชี้ให้เห็นว่า การทำงานของรัฐบาลใช้งบค่าดำเนินการ และค่าเดินทางเฉียดร้อยล้านบาท แต่ผลลัพธ์กลับไม่มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ยังถูกเก็บภาษีในอัตราสูงเช่นเดิม ถือเป็นความล้มเหลวอย่างชัดเจน โดยมองว่าปัญหาเกิดจากกลุ่มรัฐมนตรีที่ไร้คุณภาพ ซึ่งไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน และขาดความเข้าใจเชิงยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะในภาวะที่ต้องรับมือกับภัยทางเศรษฐกิจระดับชาติ
พร้อมมองว่า รัฐบาลขาดการบูรณาการระหว่างกระทรวงหลักที่เกี่ยวข้อง และที่น่าห่วงคือ ยังไม่สามารถชี้แจงได้ว่าไทยเสนออะไรไปบ้างในการเจรจา แล้วสหรัฐฯ ปฏิเสธกลับมาอย่างไร สะท้อนถึงการเตรียมตัวที่ไม่พร้อม และหลงเชื่อกลุ่มลอบบี้ยีสต์ต่างประเทศมากกว่าความเห็นจากคนในประเทศ
โฆษกพรรคไทยสร้างไทย ยังตำหนิ กระทรวงพาณิชย์ว่า แม้จะออกมาพูดถึงการเปิดตลาดใหม่ และมาตรการเยียวยาอยู่บ่อยครั้ง แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีรายละเอียดเชิงนโยบายที่ชัดเจน โดยเฉพาะจากรัฐมนตรีพาณิชย์คนใหม่ ที่ให้สัมภาษณ์ครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่ง ยังไม่สามารถตอบคำถามเรื่องแนวทางการเจรจาที่ควรเสนอให้กับสหรัฐฯได้ มีเพียงคำพูดทั่วไปว่ารัฐบาลจะเร่งเยียวยา และสร้างตลาดใหม่เท่านั้น
นอกจากนี้ ยังมีการตั้งข้อสังเกตถึง กระทรวงการคลังว่าแทบไม่มีบทบาทในการรับมือกับมาตรการภาษีดังกล่าวเลย แถมกลายเป็นเสมือนโฆษกรัฐบาลจำเป็น ที่คอยออกมาปฏิเสธข่าวลือ หรือกล่าวว่าการเจรจายังไม่เสร็จอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่ทุกอย่างเป็นไปตามข่าวลือนั้นทุกประการ นายปริเยศกล่าวว่า นี่คือการสะท้อนถึงการไม่มีแผนเชิงรุก และการไม่กล้าตัดสินใจของรัฐบาล
“แผนการแบบช้าแต่ชัวร์ ที่รัฐบาลมักพูดถึงนั้น กำลังจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไทยครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และ ขณะนี้ แนวโน้มถือว่าเป็นลบในระดับที่น่ากังวลอย่างยิ่ง” นายปริเยศระบุ พร้อมกล่าวย้ำว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพราะมาตรการจากสหรัฐฯ เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการบริหารที่ขาดความโปร่งใส ลับๆ ล่อๆ และไม่เคยสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชนและประชาชนได้เลย”
— ปริเยศ
ปริเยศ ยังเตือนว่า หากการเจรจากับสหรัฐฯ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ภายในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ ถือว่าเป็นความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง และรัฐบาลจะต้องมีผู้แสดงความรับผิดชอบโดยตรงต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น ไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนี้เงียบหายหรือโยนความผิดกันไปมาได้อีกต่อไป