‘แพทองธาร ชินวัตร’ นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ‘พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์’ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ‘มาริษ เสงี่ยมพงษ์’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ‘ฉัตรชัย บางชวด’ เลขาสภาความมั่นคงแห่งชาติ และผู้บัญชาการเหล่าทัพ แถลงข่าวการหารือผลการประชุม JBC ไทย-กัมพูชา เพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติหลังจากนี้
โดยเผยถึงข้อสรุปการประชุม เรื่องที่หนึ่ง เรื่อง JBC ที่ประชุมผ่านไปวันที่ 14-15 มิถุนายน ผลสำเร็จที่คุยกันและยอมรับกรอบการประชุม JBC ซึ่งรายละเอียดกระทรวงการต่างประเทศได้แถลงแล้ว เรื่องที่สอง เรามีการคุยกันทุกระดับ ไม่ว่าจะหน้างานจนถึงระดับของนายกรัฐมนตรี ได้คุยกันอย่างต่อเนื่อง และวันนี้มีการตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจ เป็นทีมไทยแลนด์ และต่อจากนี้จะให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้นำทีมในการมอนิเตอร์ข้อมูลข่าวสารและดำเนินการต่างๆ
ส่วน ICJ หรือศาลโลก ประเทศไทยไม่ยอมรับ แต่ตอนนี้มีการตั้งทีมคณะทำงานว่าจะปกป้องและตั้งรับอย่างไร หาข้อมูลว่าจะสามารถปกป้องประเทศไทยอย่างไรหรือตอบโต้อย่างไรบ้าง ต้องมีกรอบในการทำงาน ซึ่งตอนนี้ศึกษาในเรื่องของกฎหมายและประวัติความเป็นมาทุกอย่างมีข้อมูลครบถ้วน นี่คือความคืบหน้าของการประชุมในวันนี้
ส่วนกรณีล่าสุดที่ ‘สมเด็จฮุนเซน’ เรื่องการเปิด - ด่านชายแดน ที่ประชุมได้มีการหารือหรือไม่ นายกฯ เผยว่า เรื่องของการปิดด่าน ไทยไม่ได้ปิด แต่เรากำหนดเวลาการเปิดปิดที่เปลี่ยนไปจากเดิม เมื่อมีการประทะกันเกิดขึ้น ประเทศไทยได้ทราบจากเพจกลาโหมกัมพูชา ซึ่งเรามีการตกลงและคุยกันแล้ว แต่หลังจากการคุยกันว่าจะมีการปรับกำลัง ที่ประชุม สมช. มีการมอบอำนาจให้กองทัพดูสถานการณ์ได้เลย เพื่อจะได้ปรับให้เข้ากับสถานการณ์ กลาโหมกัมพูชาออกมาเผยว่า จะไม่มีการปรับกำลัง เราเลยกำหนดเวลาการเปิดปิดด่านเช่นกัน
ทั้งนี้ ได้คุยกับ ‘นายกฯ กัมพูชา’ วันที่ 28 พฤษภาคม มีการตกลงความเห็นร่วมกันว่า เราต้องการสันติภาพให้เกิดขึ้นระหว่างสองประเทศ ไม่ต้องการความขัดแย้ง และต้องการรักษาชีวิตของประชาชนทั้งสองประเทศ ไม่ให้มีการเสียเลือดเนื้อทางทหาร นี่คือสิ่งที่เห็นตรงกัน แล้วพยายามจะคุยในกรอบของทวิภาคีคือการคุยระหว่างประเทศ เมื่อมีการติดต่อสื่อสารต้องมีกรอบความเข้าใจร่วมกัน เพื่อให้เป็นไปตามกลไกของระหว่างประเทศ
“ข้อความที่กัมพูชาได้โพสต์ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนทั้งไทยและกัมพูชา การที่จะประกาศปิดด่านทำให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนไทยและประชาชนกัมพูชา เรามีความห่วงใยทั้งเรื่องค้าขาย การส่งออกผลไม้และผัก เราจึงไม่ให้มีการปิดด่านแต่ปรับเวลาในการเข้าออก และตนได้แจ้งทางกัมพูชาว่า จะประชุมในวันนี้ก่อนเพื่อรายงานผลว่าไทยจะดำเนินการอย่างไร ตนได้ส่งข้อความถึง นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ว่าขอเสนอให้มีการจัดประชุม RBC การประชุมระดับกองทัพของทั้งสองประเทศ ว่าจะดำเนินการอย่างไร และได้รับข้อความที่โพสต์ใน Facebook เป็นการสื่อสารที่ไม่อยู่ในกรอบ”
สำหรับปฏิกิริยาที่ประชุม JBC ดูเหมือนข่าวที่ออกมาไทยพยายามใช้ทวิภาคีและการแก้ไขปัญหา แต่กัมพูชาไม่จริงใจต่อการคุยแบบทวิภาคี นายกฯ กล่าวว่า ในที่ประชุมเรายอมรับในกรอบนี้ของ JBC เราต้องการสันติภาพร่วมกันที่จะทำอย่างไรที่จะเกิดขึ้น กระทรวงการต่างประเทศได้แถลงเนื้อความทุกอย่าง ได้ชี้แจงไม่ติดขัดหรือมีการติดล็อคหรืออะไร
เมื่อถามว่า กัมพูชาเหมือนเล่นสงครามการสื่อสาร จะรับมืออย่างไร นายกฯ เผยว่า การสื่อสารแบบนี้ไม่ได้เกิดผลดีทั้งสองประเทศ การปล่อยข่าวใดๆ ก็ตามเคยมีการตกลงแล้วว่าอย่าพึ่งปล่อย เราต้องคุยก่อนจะเอาอย่างไร คนหน้างานกับคนที่รับฟังข่าวสารคนละคน เราทำอะไร ตัดสินใจอะไร สัมภาษณ์อะไรต้องเห็นใจคนหน้างาน แล้วต้องดูด้วยว่าคนหน้างานเป็นอย่างไร จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ส่วนตัวอยู่ในสารก็ต้องอัพเดทตลอดว่าเกิดอะไร การที่เรากำหนดเวลาปิดเปิดด่านเพราะมีอาวุธหนักออกมาเยอะขึ้น ประชาชนที่อยู่ตรงนั้นทั้งสองประเทศ ถ้าไม่กำหนดเวลาเปิดปิดและเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาความเสียหายมากมาย
ส่วนจะทำอย่างไรให้โลกรู้ว่าแผ่นดินไทยใช้ทวิภาคีไม่ได้ขี้โกง แพทองธาร ย้ำว่า อันนี้ถูกจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร ไม่ว่าเป็นที่ประชุมเจบีซีหรือสิ่งที่นำเสนอไปขอประชุมระดับอาร์บีซี ไม่ได้เกิดขึ้นแค่คุยกันและแยกย้าย สิ่งที่เราประชุมทั้งหมดทุกจารึกเป็นรายลักษณ์อักษร ทั่วโลกรับรู้ได้ว่าเราตกลงอะไรกันบ้าง ตอนบ่ายวันนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะเชิญทูตทั้งหมดมาร่วมประชุม และได้คุยกับทูตกัมพูชาตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน คุยกับสองคนว่าไทยต้องการอะไร ทำอย่างไร
“แต่สิ่งที่เราทำน้อยกว่าคือการสื่อสารแบบสาธารณะ เพราะเราเคารพการเจรจาระหว่างประเทศ เราเคารพทวิภาคี เราให้เกียรติทั้งสองประเทศว่าสิ่งที่คุยควรทางการและอยู่ในกรอบของทวิภาคี นี่คือสิ่งที่ทุกประเทศติดต่อสื่อสารต้องยึดกรอบทวีภาคีเป็นสิ่งสำคัญ แต่ถ้ามีการสื่อสารที่ไม่ได้เป็นทางการเราต้องบอกจุดยืนว่า เราไม่เคยที่จะยั่วยุ หรือพูดเพื่อให้เกิดการปะทะใดๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่วนตัวเป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าอยู่ตรงนี้และเกิดการปะทะรุนแรงตามชายแดน แปลว่าต้องรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และหากต้องตกลงในการปะทะต้องมีการคุยกับทหารว่าพร้อมหรือไม่ เราอยู่ในสถานะไหน ไม่สามารถให้ไฟติดได้เลย นี่คือกรอบที่ทุกคนต้องยึด แต่การปล่อยข่าวหรือประโยคที่ไม่เป็นทางการ ส่งผลกระทบ ขอย้ำอีกครั้งว่าไม่เกิดผลดีทั้งสองประเทศ”
— แพทองธาร กล่าว
เมื่อถามว่า จะทำอย่างไรเมื่อกัมพูชาเล่นสงครามข่าวสาร และคนไทยมองว่ารัฐบาลต้องชี้แจง นายกฯ เผยว่า นายกรัฐมนตรีและกองทัพ เห็นตรงกันในทุกส่วน และกองทัพเองคิดเหมือนกันว่าต้องปกป้องอธิปไตยของไทย แต่ทำอย่างไรให้ยืดการปะทะ การเสียเลือดเนื้อออกไปไม่ให้เกิดขึ้น นี่คือสิ่งสำคัญของรัฐบาลและกองทัพ ใครจะปล่อยข่าวว่าตีกันความจริงไม่เคยมี และกองทัพกับรัฐบาลคุยกันทุกเรื่องว่าจะทำอย่างไร จะเคลื่อนไหวอย่างไร ตนให้เกียรติกองทัพเสมอ เพราะเป็นคนหน้างานและรู้เรื่องอาวุธทุกอย่าง และรัฐบาลต้องคุยว่าจะทำอย่างไร ส่วนตัวได้เช็คกับกองทัพทุกครั้งว่าเราจะเดินอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ และต่างประเทศเป็นอย่างไร ทำได้หรือไม่ได้ ประเทศไทยเป็นแบบนี้
“ขอย้ำอีกครั้งว่า รัฐบาลกับกองทัพไม่มีปัญหากัน ขอให้ทุกคนช่วยกันสนับสนุนกองทัพและรัฐบาลให้เป็นอันเดียวกัน วันนี้เราไม่ได้ต่อสู้กันเอง เรารักษาอธิปไตยของเราไว้ และเราพูดในข้อความที่ตรงกัน พูดในข้อความที่รู้ว่าประเทศไทยเป็นปึกแผ่น เราจะไม่ยอมให้ใครมากลั่นแกล้ง ให้ใครมาใส่ร้าย ให้ใครมาขู่ เราก็ประเทศที่มีศักดิ์ศรีเช่นกัน และเป็นประเทศที่แข็งแรงเช่นกัน จุดนี้ที่ทำให้ทุกคนรู้ว่า วันนี้ถ้าไม่เคารพกฎกติกาก็จะไม่ถูกยอมรับจากทั่วโลก”
— แพทองธาร กล่าวทิ้งท้าย