“ภาษีศุลกากรกำลังจะมีขึ้น”
— ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กล่าว
แต่จะมีภาษีอะไรบ้างและเมื่อใด เนื่องจากภาษีนำเข้ามีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง จึงยากที่จะติดตามได้
ทรัมป์ได้ขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก อลูมิเนียมจากจีน และสินค้าบางรายการจากแคนาดาและเม็กซิโกแล้ว ส่วนภาษีนำเข้ารถยนต์ที่สูงขึ้นกว่าเดิมจะมีผลบังคับใช้ในสัปดาห์นี้ ขณะนี้ เรากำลังรอให้ทรัมป์เผยรายละเอียดเกี่ยวกับแผนใหม่ในการจัดเก็บภาษีศุลกากร ซึ่งทีมของทรัมป์ใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาในการจัดทำแผนดังกล่าว
ทำเนียบขาวเรียกวันที่ 2 เม.ย. ว่า ‘วันปลดปล่อยประเทศ’ แล้วเราจะรู้อะไรบ้างในวันพุธนี้
1\. อัตราภาษีศุลกากรจะสูงแค่ไหน?
ทำเนียบขาวยังไม่ได้ระบุว่าภาษีจะสูงขึ้นเท่าใด แม้ว่านักวิเคราะห์จะมีการคาดการณ์อัตราภาษีที่เป็นไปได้ต่างๆ ไว้แล้วก็ตาม
ในช่วงการหาเสียงเมื่อปีที่แล้ว ทรัมป์สนับสนุนให้มีการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทุกประเภทจากสหรัฐฯ ทั้งหมด 10% และบางประเภทอาจสูงถึง 20% หรืออาจถึง 60% ก็ได้สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากจีน
หลังจากขึ้นดำรงตำแหน่ง ทรัมป์ได้เสนอแนวคิดเรื่องภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariffs) โดยระบุว่าอัตราภาษีอาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ “พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าพวกเขาเรียกเก็บภาษีจากเรา เราก็จะเรียกเก็บภาษีจากพวกเขา” ทรัมป์กล่าวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ไม่นานก่อนที่จะสั่งให้เจ้าหน้าที่พัฒนาแผนการขึ้นภาษี
ทำเนียบขาวระบุว่าแผนของพวกเขานั้นไม่เพียงแค่การจัดเก็บภาษีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนโยบายอื่นๆ ที่พวกเขาเชื่อว่าไม่ยุติธรรมต่อธุรกิจของอเมริกา เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งประเด็นนี้ทำให้เกิดการแย่งชิงกัน เนื่องจากภาคธุรกิจและผู้นำทางการเมืองต่างเข้าใจว่าผลิตภัณฑ์ของตัวเองอาจต้องเสียภาษีใหม่จำนวนมาก และภาษีที่ประกาศในวันพุธจะมีผลอย่างไรกับภาษีอื่นๆ เช่น ภาษีเหล็กและอลูมิเนียมที่ทรัมป์ได้บังคับใช้ไปแล้ว
ตัวอย่างเช่น เจ้าหน้าที่ในยุโรปกำลังเตรียมการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า 2 หลักสำหรับสินค้าส่งออกของพวกเขา ในช่วงต้นปีนี้ ทรัมป์กล่าวว่าเขาวางแผนที่จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากกลุ่มประเทศดังกล่าว 25%
2\. ประเทศใดบ้างที่จะได้รับผลกระทบ?
รัฐบาลทรัมป์ยังไม่ได้ยืนยันว่าประเทศใดบ้างที่จะได้รับผลกระทบ แม้ว่าการประกาศเมื่อวันพุธจะถือเป็นการประกาศครั้งใหญ่ก็ตาม
เมื่อวันอาทิตย์ (30 มี.ค.) ที่ผ่านมา ทรัมป์กล่าวว่า “ภาษีศุลกากรใหม่นี้สามารถใช้กับ ‘ทุกประเทศ’...”
สิ่งนี้ทำให้ความหวังในบางประเทศ เช่น สหราชอาณาจักรที่คิดว่าตัวเองอาจลอยตัวแบบเงียบๆ ต้องสูญไป แม้ว่าหลายประเทศยังคงหวังว่าในที่สุดจะสามารถบรรลุข้อตกลงบางอย่างได้ แต่ยังไม่ชัดเจนว่าภาษีจะถูกใช้อย่างทั่วถึงหรือมีเป้าหมายเจาะจงมากขึ้นในระดับใด
เมื่อเดือนที่แล้ว สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่า “ความพยายามดังกล่าวจะเน้นไปที่ 15 ประเทศที่มีปัญหาการค้ากับสหรัฐฯ มากที่สุด ซึ่งก็คือ 15% ของประเทศที่มีสัดส่วนการค้ากับสหรัฐฯ มากที่สุด และกำหนดภาษีศุลกากร หรือกฎเกณฑ์อื่นๆ ที่ทำให้บริษัทสหรัฐฯ เสียเปรียบ”
สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ซึ่งเตรียมร่างคำแนะนำได้ระบุประเทศที่สนใจเป็นพิเศษ ได้แก่ : อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย บราซิล แคนาดา จีน สหภาพยุโรป อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย เม็กซิโก รัสเซีย ซาอุดีอาระเบีย แอฟริกาใต้ สวิตเซอร์แลนด์ ไต้หวัน ไทย ตุรกี สหราชอาณาจักร และเวียดนาม
“มิตรมักจะเลวร้ายกว่าศัตรู”
— ทรัมป์กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
3\. การเก็บภาษีจะมีผลกระทบอย่างไรบ้าง?
‘ภาษีศุลกากร’ คือ ภาษีนำเข้า ดังนั้นคำถามสำคัญก็คือ ใครจะเป็นผู้จ่าย?
ในทางเทคนิคแล้ว มีคำตอบง่ายๆ ก็คือ บริษัทสหรัฐฯ ที่นำเข้าสินค้าคือบริษัทที่จะต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าทำเนียบขาวเริ่มเรียกเก็บภาษี ‘ทันที’ แต่ยิ่งอัตราภาษีสูงขึ้น บริษัทต่างๆ ก็จะยิ่งมองหาวิธีชดเชยต้นทุนเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนซัพพลายเออร์ การผลักดันให้พันธมิตรทางธุรกิจช่วยแบ่งเบาภาระ หรือขึ้นราคาสินค้าสำหรับชาวอเมริกัน
บริษัทหลายแห่งกล่าวว่าพวกเขากำลังเตรียมพร้อมสำหรับขั้นตอนดังกล่าวอยู่แล้ว แต่มันก็เป็นเกมที่มีความเสี่ยง เพราะหากบริษัทขึ้นราคามากเกินไป ผู้ซื้อก็จะปลีกตัวออกไป
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้มีความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยเพิ่มขึ้น ทั้งในสหรัฐฯ และนอกพรมแดนที่บริษัทหลายแห่งต้องพึ่งพาการขายในสหรัฐฯ
ทรัมป์กล่าวว่า “บริษัทต่างๆ ที่ต้องการหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรสามารถดำเนินธุรกิจในสหรัฐฯ ได้ แต่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ง่าย หรือในทันที เนื่องจากมีต้นทุนสูงในการจ้างงานและการตั้งโรงงาน”
การนำความผันผวนของสกุลเงินและการตอบโต้จากประเทศอื่นๆ เข้ามาผสมผสาน และผลที่ตามมาจากความพยายามของทรัมป์ในการรีเซ็ตดุลการค้าโลกนั้น น่าจะคาดเดาได้ยากแม้ว่าจะได้รับการประกาศเมื่อวันพุธแล้วก็ตาม
(Photo by Mandel NGAN / AFP)