ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แจ้งอัตราภาษีศุลกากรรอบใหม่ไปยัง 8 ประเทศ ได้แก่ บราซิล ศรีลังกา แอลจีเรีย บรูไน อิรัก ลิเบีย มอลโดวา และฟิลิปปินส์
จดหมายดังกล่าวถูกเผยแพร่บนโซเชียลมีเดียเมื่อวันพุธ (9 ก.ค.) โดยระบุอัตราภาษีศุลกากรของแต่ละประเทศ :
- บราซิล 50%
- แอลจีเรีย, ศรีลังกา, และอิรัก 30%
- บรูไน, ลิเบีย, และมอลโดวา 25%
- ฟิลิปปินส์ 20%
ทรัมป์โพสต์จดหมายเหล่านี้บนแพลตฟอร์ม Truth Social หลังจากครบกำหนดเจรจา 90 วันที่เริ่มเก็บภาษีพื้นฐาน 10% โดยเปิดโอกาสให้ประเทศต่างๆ เจรจาต่อรองก่อนเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคม แต่ยืนยันว่าจะไม่มีการขยายเวลา หรือผ่อนผันสำหรับประเทศที่ได้รับจดหมายแจ้งภาษี
อย่างไรก็ตาม บราซิลเป็นประเทศเดียวที่จะถูกเรียกเก็บภาษีสูงสุดในกลุ่มประเทศนี้ โดยในจดหมายนั้นอ้างถึง ‘ความอยุติธรรมอย่างร้ายแรง’ รวมถึงข้อกล่าวหาเรื่องการเซ็นเซอร์และการโจมตีเสรีภาพในการเลือกตั้งในบราซิล โดยเฉพาะกรณีการดำเนินคดีกับอดีตประธานาธิบดีฌาอีร์ โบลโซนาโร ผู้นำฝ่ายขวาที่ทรัมป์สนับสนุน ซึ่งปฏิเสธผลการเลือกตั้งที่เขาแพ้ในปี 2022 และกำลังเผชิญกับการพิจารณาคดีในข้อหาพยายามรัฐประหาร
ด้านประธานาธิบดีลูอิส อีนาซียู ลูลา ดา ซิลวา ของบราซิลตอบโต้โดยยืนยันว่า “บราซิลเป็นประเทศอธิปไตยที่มีสถาบันอิสระ และจะไม่ยอมรับการแทรกแซงใดๆ” พร้อมเตือนว่าทุกมาตรการเพิ่มภาษีแบบฝ่ายเดียวจะได้รับการตอบโต้ตามกฎหมายความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจของบราซิล
ทรัมป์ยังระบุอีกว่า การเก็บภาษี 50% นี้เป็นส่วนหนึ่งของการสอบสวนตามมาตรา 301 ซึ่งอาจนำไปสู่มาตรการที่เข้มงวดยิ่งขึ้นต่อบราซิล และกล่าวถึงปัญหาการโจมตีบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ในบราซิล รวมถึงคำสั่งเซ็นเซอร์สื่อสังคมออนไลน์ที่เขามองว่าเป็น ‘การละเมิดเสรีภาพ’
การประกาศภาษีครั้งนี้ถือเป็นการยกระดับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบราซิลอย่างมาก และส่งผลให้ค่าเงินเรอัลของบราซิลอ่อนค่าลงกว่า 2% ในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
ฟิลิปปินส์โดนเก็บเพิ่มเป็น 20%
ขณะที่ฟิลิปปินส์วางแผนเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าหลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีในอัตรา 20% ซึ่งสูงกว่าที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ที่ 17% โดยรัฐบาลฟิลิปปินส์ยังคงเดินหน้าเจรจาอย่างต่อเนื่องกับสหรัฐฯ เพื่อหาข้อตกลงที่ดีกว่า โดยคณะผู้แทนฟิลิปปินส์นำโดย เฟรดเดอริก โก จะเดินทางไปกรุงวอชิงตันดีซีในสัปดาห์หน้าเพื่อเจรจาเรื่องนี้
“เรายังวางแผนที่จะเจรจาเรื่องนี้อยู่” โฆเซ่ มานูเอล โรมูอัลเดซ เอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ประจำสหรัฐฯ กล่าวทางโทรศัพท์