จะโจมตี หรือถอยออกมา? ทรัมป์มีทางเลือกอะไรบ้างในการจัดการกับอิหร่าน

19 มิ.ย. 2568 - 03:07

  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แสดงท่าทีที่ไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงไปมาเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน บางครั้งก็ดูเหมือนจะสนับสนุนการโจมตีของอิสราเอลอย่างเต็มที่ แต่บางครั้งก็พยายามเว้นจะระยะห่างจากการปฏิบัติการเหล่านั้น

  • ท่าทีของทรัมป์กำลังสร้างความสับสนและความไม่แน่นอนทั้งในอิสราเอล และอิหร่าน รวมถึงในระดับนานาชาติด้วย

  • ปัจจัยใดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของทรัมป์ แล้วทางเลือกของทรัมป์ในตอนนี้คืออะไรกันแน่?

จะโจมตี หรือถอยออกมา? ทรัมป์มีทางเลือกอะไรบ้างในการจัดการกับอิหร่าน

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แสดงท่าทีที่ไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงไปมาเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน บางครั้งก็ดูเหมือนจะสนับสนุนการโจมตีของอิสราเอลอย่างเต็มที่ แต่บางครั้งก็พยายามเว้นจะระยะห่างจากการปฏิบัติการเหล่านั้น ซึ่งท่าทีของทรัมป์กำลังสร้างความสับสนและความไม่แน่นอนทั้งในอิสราเอล และอิหร่าน รวมถึงในระดับนานาชาติด้วย 

ทรัมป์ได้เดินทางออกจากการประชุมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ (G7) ที่แคนาดาก่อนกำหนด โดยให้เหตุผลว่าเป็นเพราะสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรงขึ้น ขณะที่ทำเนียบขาวระบุว่า “เหตุผลการเดินทางเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง” ส่วนทรัมป์นั้นยืนยันผ่าน Truth Social ว่า “ไม่ได้เกี่ยวกับการเจรจาหยุดยิงแต่อย่างใด” 

ปัจจัยใดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของทรัมป์ แล้วทางเลือกของทรัมป์ในตอนนี้คืออะไรกันแน่...? 

1.เดินหน้ากดดันอิหร่านตามเกมของเนทันยาฮูต่อไป 

   ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ (ซ้าย) จับมือกับนายกฯ เบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอล (ขวา) บริเวณทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2025 (Photo by Brendan SMIALOWSKI / AFP)
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ (ซ้าย) จับมือกับนายกฯ เบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอล (ขวา) บริเวณทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2025 (Photo by Brendan SMIALOWSKI / AFP)

ย้อนกลับไปเมื่อ 6 วันที่แล้วที่อิสราเอลยิงขีปนาวุธโจมตีอิหร่านเมื่อวันศุกร์ (13  มิ.ย.) ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ออกมาขู่ผู้นำอิหร่านว่าจะต้องเจอกับการโจมตีที่ ‘รุนแรงกว่า’ จากพันธมิตรอิสราเอลที่ใช้อาวุธจากสหรัฐฯ 

เป้าหมายสูงสุดของทรัมป์เหมือนกับนายกฯ เนทันยาฮู ก็คือ ‘การป้องกันไม่ให้อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์’ แต่ทรัมป์ชอบแนวทางแก้ไขผ่านข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน ซึ่งสะท้อนภาพลักษณ์ของเขาในฐานะ ‘นักเจรจาระดับโลก’ แตกต่างจากเนทันยาฮูที่เน้นการใช้กำลังมากกว่า 

ถึงกระนั้น ทรัมป์ก็ยังมีท่าทีที่ไม่แน่นอนว่าจะไปถึงเป้าหมายนี้ด้วยวิธีใด บางครั้งเขาก็มักข่มขู่จะใช้กำลัง บางครั้งก็ผลักดันการทูต เมื่อสัปดาห์ก่อนทรัมป์ยังบอกด้วยว่า การโจมตีของอิสราเอลอาจช่วยให้เกิดข้อตกลง หรืออาจทำให้ข้อตกลงล่มไปเลย 

บางครั้งผู้สนับสนุนของทรัมป์ก็พรรณนาถึงความไม่แน่นอนของเขาว่าเป็นทฤษฎี ‘คนบ้า’ (madman theory) ซึ่งเป็นแนวคิดทางการเมืองที่อธิบายถึงวิธีการเจรจาของทรัมป์ โดยชี้ว่าการสร้างความไม่แน่นอน หรือความไม่คาดฝันเกี่ยวกับการยกระดับความขัดแย้ง เป็นการบีบบังคับให้ฝ่ายตรงข้าม หรือแม้แต่พันธมิตรในบางกรณีต้องยอมทำตามเงื่อนไข ทฤษฎีนี้เป็นที่รู้จักจากแนวทางสงครามเย็นของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน 

ที่ปรึกษาและผู้สนับสนุนของทรัมป์บางส่วนสนับสนุนทฤษฎีคนบ้าที่เน้นใช้ ‘แรงกดดันสูงสุด’ ในการรับมือกับอิหร่าน ในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาเชื่อว่าการข่มขู่จะประสบความสำเร็จ เพราะมองว่าอิหร่านไม่ได้จริงจังกับการเจรจา แม้ในปี 2015 อิหร่านจะเคยลงนามในข้อตกลงนิวเคลียร์ที่นำโดยประธานาธิบดีโอบามา ก่อนที่ทรัมป์จะถอนตัวออกมาในเวลาต่อมา 

นายกฯ เนทันยาฮู ได้กดดันทรัมป์อย่างต่อเนื่องให้เลือกใช้แนวทางทางการทหารแทนการทูต และแม้ทรัมป์จะเคยกล่าวบ่อยครั้งว่าต้องการที่จะได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ แต่ในที่สุดเขาอาจจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำขู่ที่รุนแรงขึ้นต่อผู้นำอิหร่าน 

อิสราเอลอาจเร่งกดดันให้สหรัฐฯ เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในความขัดแย้งกับอิหร่าน เพื่อ ‘ทำงานให้สำเร็จ’ ตามที่อิสราเอลเห็นว่าเหมาะสม สหรัฐฯ มีระเบิดเจาะบังเกอร์ที่อิสราเอลเชื่อว่าสามารถทำลายโรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียมใต้ดินที่ฟอร์โดว์ได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายยุทธศาสตร์สำคัญของอิหร่าน 

ทรัมป์อาจมองว่าการเพิ่มแรงกดดันทางทหารและการเมืองจะบีบให้อิหร่านต้องกลับมาเจรจากับสหรัฐฯ ด้วยสถานะที่อ่อนแอลงกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม ความจริงก็คือ อิหร่านเคยเข้าร่วมโต๊ะเจรจามาแล้ว โดยมีแผนที่จะจัดการเจรจารอบที่ 6 กับ สตีฟ วิทคอฟ ตัวแทนของทรัมป์ที่โอมานเมื่อวันอาทิตย์ (15 มิ.ย.) ที่ผ่านมา 

แต่การเจรจาดังกล่าวถูกยกเลิกไปแล้ว เนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นในภูมิภาค ทำให้โอกาสในการเจรจาทางการทูตในขณะนี้แทบจะหมดไป 

2.หันมาเจรจาทางการทูตเหมือนเดิม 

(Photo by ATTA KENARE and CHARLY TRIBALLEAU / AFP)
(Photo by ATTA KENARE and CHARLY TRIBALLEAU / AFP)

จนถึงขณะนี้ ทรัมป์เองก็ได้ย้ำหลายครั้งว่าสหรัฐฯ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีของอิสราเอลต่ออิหร่าน แต่สถานการณ์ความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นนี้มาพร้อมกับความเสี่ยงทางการเมือง โดยเรือพิฆาตของกองทัพเรือและชุดขีปนาวุธภาคพื้นดินของสหรัฐฯ ได้ให้ความช่วยเหลือในการป้องกันของอิสราเอลจากการตอบโต้ของอิหร่านแล้ว 

ที่ปรึกษาของทรัมป์บางคนน่าจะเตือนเขาให้ระมัดระวังไม่ให้เพิ่มความรุนแรงการโจมตีอิหร่านในช่วงเวลานี้ โดยเฉพาะเมื่อขีปนาวุธของอิหร่านสามารถทะลุระบบป้องกันของอิสราเอลและสหรัฐฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำให้เกิดความเสียหายรุนแรง 

ขณะเดียวกัน นายกฯ เนทันยาฮู ก็แย้งว่าการโจมตี ‘อายะตุลลอฮ์ อาลี คาเมเนอี’ ผู้นำสูงสุดอิหร่าน จะช่วยยุติความขัดแย้ง ไม่ใช่ทำให้รุนแรงขึ้น แต่แหล่งข่าวสหรัฐฯ ไม่เปิดเผยชื่อรายงานว่า ทรัมป์ไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าวในเวลานี้ 

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้แสดงความตั้งใจที่จะบีบให้อิหร่าน “ยอมจำนนแบบไม่มีเงื่อนไข” และขู่ว่า สหรัฐฯ รู้ตำแหน่งที่ซ่อนของคาเมเนอี แต่ยังไม่ต้องการกำจัดในตอนนี้ โดยยังคงหวังว่าจะใช้แรงกดดันทางทหารควบคู่กับการสนับสนุนทางการทูตเพื่อบรรลุเป้าหมาย 

3.เลิกยุ่งกับอิสราเอลตามนโยบายที่เคยหาเสียงว่า “อเมริกาต้องมาก่อน” 

(Photo by Jim WATSON / AFP)
(Photo by Jim WATSON / AFP)

ปัจจัยทางการเมืองที่สำคัญประการหนึ่งที่ส่งผลต่อการตัดสินใจทรัมป์ก็คือ ‘การสนับสนุนภายในประเทศ’ สมาชิกพรรครีพับลิกันส่วนใหญ่ในรัฐสภายังคงสนับสนุนอิสราเอลอย่างแข็งขัน รวมถึงสนับสนุนการส่งอาวุธของสหรัฐฯ มายังประเทศนี้อย่างต่อเนื่อง และสมาชิกหลายคนสนับสนุนการโจมตีให้อิสราเอลโจมตีอิหร่านอย่างเปิดเผย 

แต่มีเสียงสำคัญบางส่วนภายในขบวนการ ‘Make America Great Again’ (Maga) ของทรัมป์ที่ปฏิเสธการสนับสนุนอิสราเอลอย่างแข็งขัน พวกเขาตั้งคำถามว่าทำไมสหรัฐฯ จึงเสี่ยงที่จะถูกดึงเข้าไปในสงครามตะวันออกกลาง ทั้งๆ ที่ทรัมป์เคยให้คำมั่นสัญญาในนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” (America First) ที่เน้นผลประโยชน์ภายในประเทศเป็นหลัก  

ทักเกอร์ คาร์ลสัน นักข่าวสายอนุรักษ์นิยมและผู้สนับสนุนทรัมป์ได้วิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงต่อการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ ในความขัดแย้งครั้งนี้ โดยกล่าวว่า “คำกล่าวอ้างของรัฐบาลทรัมป์ที่จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามนั้นไม่เป็นความจริง และสหรัฐฯ ควรจะเลิกยุ่งกับอิสราเอล...การเข้าไปมีส่วนร่วมในความขัดแย้งนี้จะเป็นการแสดงออกที่ไม่เคารพต่อผู้ลงคะแนนเสียงหลายล้านคนที่หวังจะเห็นรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับสหรัฐฯ เป็นอันดับแรก”  

เสียงวิจารณ์เหล่านี้เพิ่มแรงกดดันให้ทรัมป์ต้องเว้นระยะห่างระหว่างสหรัฐฯ กับการโจมตีของอิสราเอล และมีสัญญาณว่าเขาเริ่มตอบสนองต่อแรงกดดันนี้ในที่สาธารณะแล้ว 

เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ในระหว่างที่มีการอภิปรายกันในกลุ่มผู้สนับสนุน MAGA ทรัมป์ได้โพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดียว่า เขาร่วมกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย เรียกร้องให้ยุติสงคราม และในวันอาทิตย์ (15 มิ.ย.) ทรัมป์ก็กล่าวว่า “อิหร่านและอิสราเอลควรทำข้อตกลงกัน” พร้อมย้ำว่า “สหรัฐฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีอิหร่าน” 

ขณะที่ทางอิหร่านได้ขู่ไว้จะโจมตีฐานทัพสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ หากสหรัฐฯ ช่วยสนับสนุนการป้องกันของอิสราเอลเหมือนอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่ทหารอเมริกันอาจได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตจากความขัดแย้งนี้ 

ความเสี่ยงของการสูญเสียชีวิตของทหารสหรัฐฯ จะส่งผลให้เสียงของกลุ่ม MAGA ที่มีแนวคิดแยกตัวออกจากความขัดแย้งระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และอาจกดดันให้ประธานาธิบดีทรัมป์ ต้องหยุดสนับสนุนทางทหารต่ออิสราเอล รวมถึงเรียกร้องให้นายกฯ เนทันยาฮูยุติการโจมตีอิหร่านโดยเร็วที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการขยายวงความขัดแย้ง 

(Photo by CHIP SOMODEVILLA / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / Getty Images via AFP) 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์