วันพุธ (28 พ.ค.) ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ มีคำพิพากษาครั้งประวัติศาสตร์ให้ยกเลิกมาตรการภาษีศุลกากรที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้กับทุกประเทศเมื่อวันที่ 2 ก.พ. ที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นการใช้อำนาจเกินจากที่กฎหมายกำหนด
แต่แล้วหลังจากนั้นอีกไม่ถึง 24 ชั่วโมง ศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางก็มีคำสั่งให้ระงับคำสั่งของศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ชั่วคราว ให้กลับมาบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรต่อไป ในระหว่างที่ศาลพิจารณาคำชี้แจงของฝั่งรัฐบาล
แม้จะมีโอกาสที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษายืนตามคำสั่งของศาลการค้าระหว่างประเทศ แต่ก็ยังเร็วไปที่จะดีใจ
“มันฟังเหมือนเป็นข่าวดี แต่ทรัมป์ก็มีกลไกอื่นๆ มากมายในการใช้มาตรการภาษี หรือมีแต้มต่อในการเจรจาการค้า เพียงแค่วิธีเหล่านี้อาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน แทนที่จะมีผลทันทีเหมือนที่ทำกับ IEEPA (ประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตามกฎหมายว่าด้วยอำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ )”
— จอร์แดน โรเชสเตอร์ นักวิเคราะห์จากธนาคาร Nomura ของญี่ปุ่น
เป็นไปในทิศทางเดียวกับนักเศรษฐศาสตร์ของ Goldman Sachs ที่บอกว่า “คำพิพากษานี้...อาจไม่ได้เปลี่ยนผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายสำหรับพันธมิตรทางการค้าส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ สำหรับตอนนี้เราคาดว่ารัฐบาลทรัมป์จะหาทางอื่นมาเก็บภาษีศุลกากร ”
ทรัมป์มีช่องทางตามกฎหมายอื่นๆ ให้เลือกใช้เพื่อสานต่อนโยบายภาษี
มาตรา 122 ของกฎหมายการค้าปี 1974 (Trade Act of 1974) ซึ่งไม่ต้องผ่านการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากกระทรวงพาณิชย์ โดยทรัมป์อาจแทนที่ภาษีศุลกากรพื้นฐาน 10% ที่เก็บจากทุกประเทศที่ประกาศก่อนหน้านี้ ด้วยภาษีศุลกากรไม่เกิน 15% ในลักษณะเดียวกันนี้ แต่วิธีนี้จะใช้ได้เพียง 150 วันเท่านั้น หากเกินกว่านั้นต้องให้สภาคองเกรสอนุมัติ
มาตรา 232 ของกฎหมายขยายการค้าปี 1962 (Trade Expansion Act of 1962) ที่ตอนนี้ทรัมป์เก็บภาษีศุลกากร 25% จากเหล็ก อะลูมิเนียม รถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์จากต่างประเทศ ซึ่งอาจขยายไปถึงสินค้าประเภทอื่นๆ ได้ หากการตรวจสอบข้อเท็จจริงของกระทรวงพาณิชย์พบว่าสินค้านั้นๆ จะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ หากสหรัฐฯ นำเข้า โดยขณะนี้มีสินค้าอีกหลายรายการที่กำลังอยู่ระหว่างกระบวนการสอบสวนของกระทรวงพาณิชย์ เช่น ทองแดง ชิปและยา
มาตรา 301 ของกฎหมายการค้าปี 1930 (Trade Act of 1930) ทรัมป์อาจตรวจสอบพันธมิตรการค้าและกำหนดระเบียบต่างๆ แต่วิธีนี้ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายสัปดาห์ อาจจะไม่ทันใจทรัมป์
มาตรา 338 ของกฎหมายการค้าปี 1930 (Trade Act of 1930) ที่ให้อำนาจประธานาธิบดีเรียกเก็บภาษีจากสินค้าที่มาจากประเทศที่เลือกปฏิบัติกับสหรัฐฯ ได้ไม่เกิน 50% แต่วิธีนี้ยังไม่เคยถูกใช้มาก่อน

คำพิพากษากระทบการเจรจาการค้าไหม?
แอนดรูว์ เคนนิงแฮม หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ยุโรปจาก Capital Economics มองว่า คำพิพากษาของศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ไม่ได้ทำให้ภัยจากภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ หายไป เนื่องจากมาตรการภาษีจะยังคงอยู่หากทำเนียบขาวอุทธรณ์ชนะ
ขณะที่นักวิเคราะห์บางรายเชื่อว่า คำพิพากษาของศาลอาจทำให้หลายประเทศไม่เร่งรีบบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ โดยมองว่าสหภาพยุโรป หรือประเทศอื่นๆ อาทิ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อาจประเมินว่าควรรอดูท่าทีว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับการอุทธรณ์ของทำเนียบขาว ก่อนจะทำข้อตกลงใดๆ กับสหรัฐฯ
แต่ที่แน่ๆ ผลกระทบจากความไม่แน่นอนว่าสหรัฐฯ จะเริ่มใช้มาตรการภาษีหรือไม่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
ประเด็นสำคัญคือ นักเศรษฐศาสตร์หลายคนคิดว่าไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร การค้าจะยังคงได้รับผลกระทบอย่างหนักในปีนี้
Photo by Kayla Bartkowski / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / Getty Images via AFP