ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่จีนว่าจะเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีก 50% สำหรับสินค้าที่นำเข้ามายังสหรัฐฯ หากจีนไม่ยกเลิกภาษีตอบโต้ ท่ามกลางตลาดโลกที่ยังคงร่วงลงอย่างต่อเนื่อง
ในโพสต์บนโซเชียลมีเดียเมื่อวันจันทร์ (7 เม.ย.) ทรัมป์ให้เวลาจีนในการยกเลิกมาตรการตอบโต ้จนถึงวันอังคาร (8 เม.ย.) ไม่เช่นนั้นจะต้องเผชิญกับภาษี 50% ขณะที่ทางสถานทูตจีนประจำสหรัฐฯ ตอบโต้โดยกล่าวหาว่า “สหรัฐฯ กลั่นแกล้งทางเศรษฐกิจ” และกล่าวว่า “จีนจะปกป้องสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของตัวเองอย่างเข้มงวด”
หากทรัมป์ดำเนินการตามคำขู่ บริษัทต่างๆ ในสหรัฐฯ อาจต้องเผชิญกับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสูงถึง 104% นอกเหนือจากภาษีนำเข้า 20% ที่ประกาศใช้เมื่อเดือนมีนาคม และภาษี 34% ที่ทรัมป์เพิ่งประกาศใช้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเตือนบน Truth Social อีกว่า “การเจรจาทั้งหมดกับจีนเรื่องภาษีศุลกากร จะถูกยุติลง!”
ประเด็นนี้ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าอาจทำให้สงครามการค้าระหว่างสองเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลกรุนแรงยิ่งขึ้น
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทรัมป์กล่าวว่าเขาจะไม่พิจารณาระงับภาษีนำเข้าทั่วโลกเพื่อเปิดทางให้มีการเจรจากับประเทศอื่นๆ “เราไม่ได้มองไปที่เรื่องนั้น มีประเทศต่างๆ มากมายที่เข้ามาเจรจาข้อตกลงกับเรา และจะมีข้อตกลงที่เป็นธรรม...แม้ว่าผมจะเตือนไปแล้วว่าประเทศใดก็ตามที่ตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการออกภาษีศุลกากรเพิ่มเติม...จะต้องถูกตอบโต้ด้วยภาษีศุลกากรใหม่และสูงขึ้นอย่างมากทันที” ขณะที่จีนตอบโต้ว่า “นี่เป็นการกดดัน หรือเป็นการคุกคามจีน มันไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องในการดำเนินการ”
หลิว เผิงหยู โฆษกสถานทูตจีนกล่าวในแถลงการณ์ว่า “การเคลื่อนไหวเพื่อครอบครองอำนาจของสหรัฐฯ ในนามของ ‘ความเท่าเทียมกัน’ นั้นเป็นการสนับสนุนผลประโยชน์ส่วนตัวของสหรัฐฯ...นี่เป็นการเคลื่อนไหวแบบฝ่ายเดียว การคุ้มครองทางการค้า และการกลั่นแกล้งทางเศรษฐกิจ”
ภาษีดังกล่าวอาจเป็นการโจมตีครั้งใหญ่ต่อผู้ผลิตในจีน เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นตลาดสำคัญสำหรับการส่งออก โดยสินค้าส่งออกหลักของจีนไปยังสหรัฐฯ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้า เครื่องจักรอื่นๆ คอมพิวเตอร์ เฟอร์นิเจอร์ ของเล่น ยานยนต์และอุปกรณ์ ส่วนสินค้าส่งออกหลักของสหรัฐฯ ไปยังจีน ได้แก่ เมล็ดพืชน้ำมัน ธัญพืช รวมถึงเครื่องบิน เครื่องจักรและยา
อย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษีศุลกากรทำให้เกิดความปั่นป่วนในตลาดหุ้นทั่วโลก ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงอย่างหนักอีกครั้งเมื่อวันจันทร์ ขณะที่ตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป รวมถึง ‘FTSE 100’ ของลอนดอนร่วงลงมากกว่า 4%
ขณะเดียวกัน ดัชนีหุ้นเอเชียก็ร่วงลงอย่างหนักเช่นกัน โดย ‘Hang Seng’ ของฮ่องกงร่วงลงมากกว่า 13% ซึ่งนับเป็นการร่วงลงรายวันครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 1997 แต่ดัชนีส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงเล็กน้อยในวันอังคาร
(Photo by SAUL LOEB / AFP)