รายงานหน่วยงาน UN เผยกัมพูชาเป็นศูนย์กลางฉ้อโกงไซเบอร์ ‘ไม่ใช่’ เมียนมา

20 มิ.ย. 2568 - 07:17

  • รายงานข่าวกรองระหว่างประเทศและการวิเคราะห์หลายฉบับชี้ให้เห็นว่า ผลกำไรจากกิจกรรมผิดกฎหมายเหล่านี้มีความเชื่อมโยงอย่างน้อยบางส่วน หรือส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับบุคคลใกล้ชิดกับชนชั้นนำทางการเมืองของกัมพูชา

  • ข้อมูลนี้ไม่ใช่แค่การคาดเดาเท่านั้น แต่ได้รับการสนับสนุนจากรายงานของสำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม (UNODC) ซึ่งได้เปิดเผยผลการศึกษาเกี่ยวกับกลุ่มอาชญากรข้ามชาติ อาชญากรรมทางไซเบอร์ และการฉ้อโกงทางออนไลน์

  • รายงานของ UNODC ยังชี้ให้เห็นว่า อุตสาหกรรมการหลอกลวงทางไซเบอร์ในกัมพูชาไม่ได้จำกัดอยู่แค่บริเวณชายแดนเท่านั้น แต่ได้ขยายตัวเข้าสู่เมืองใหญ่หลายแห่ง รวมถึงกรุงพนมเปญ เมืองบาเวต และเมืองพระสีหนุวิลล์

รายงานหน่วยงาน UN เผยกัมพูชาเป็นศูนย์กลางฉ้อโกงไซเบอร์ ‘ไม่ใช่’ เมียนมา

รัฐบาลของนายกฯ ฮุน มาเนต กำลังเผชิญกับแรงกดดันภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ความเหลื่อมล้ำที่ขยายตัว และกิจกรรมผิดกฎหมายที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอาชญากรรมทางไซเบอร์และการฉ้อโกงทางออนไลน์ 

รายงานข่าวกรองระหว่างประเทศและการวิเคราะห์หลายฉบับชี้ให้เห็นว่า ผลกำไรจากกิจกรรมผิดกฎหมายเหล่านี้มีความเชื่อมโยงอย่างน้อยบางส่วน หรือส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับบุคคลใกล้ชิดกับชนชั้นนำทางการเมืองของกัมพูชา 

ข้อมูลนี้ไม่ใช่แค่การคาดเดาเท่านั้น แต่ได้รับการสนับสนุนจากรายงานของสำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม (UNODC) ซึ่งได้เปิดเผยผลการศึกษาเกี่ยวกับกลุ่มอาชญากรข้ามชาติ อาชญากรรมทางไซเบอร์ และการฉ้อโกงทางออนไลน์ 

รายงานของ UNODC ได้จัดทำแผนที่ศูนย์กลางการหลอกลวงทางไซเบอร์ทั่วโลก ซึ่งแสดงภาพที่น่าตกใจเกี่ยวกับขนาดและพื้นที่ของกิจกรรมเหล่านี้อย่างชัดเจน แผนที่ดังกล่าวระบุศูนย์กลางการหลอกลวงหลายแห่งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างชัดเจนที่น่าสนใจคือ ข้อมูลดังกล่าวตรงกันข้ามกับความเชื่อที่แพร่หลายในวงกว้างที่ว่าเมียนมาเป็นศูนย์กลางการฉ้อโกงทางออนไลน์ แต่กลายเป็นว่า ‘กัมพูชากลับกลายเป็นจุดศูนย์กลางการฉ้อโกงทางไซเบอร์’ ในขณะนี้ 

ในบรรดาสถานที่ที่โดดเด่นบนแผนที่ของ UNODC ก็คือ ‘เมืองสีหนุวิลล์’ ซึ่ง UNODC ระบุว่าเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการหลอกลวงที่ใหญ่ที่สุดในกัมพูชา โดยรายงานเน้นย้ำถึงการลงทุนจากต่างประเทศจำนวนมากในพื้นที่นี้ ซึ่งได้พัฒนาเป็นทั้งที่หลบซ่อนและฐานปฏิบัติการของแก๊งหลอกลวงที่มุ่งเป้าไปที่เหยื่อทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยด้วย 

ส่วนอีกหนึ่งเมืองที่สำคัญก็คือ ‘เมืองปอยเปต’ ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้วของไทย ยังได้กลายเป็นฐานยุทธศาสตร์ของเครือข่ายอาชญากรรมที่พยายามแทรกซึมเข้าสู่ตลาดของไทยอีกด้วย 

รายงานของ UNODC ยังชี้ให้เห็นว่า อุตสาหกรรมการหลอกลวงทางไซเบอร์ในกัมพูชาไม่ได้จำกัดอยู่แค่บริเวณชายแดนเท่านั้น แต่ได้ขยายตัวเข้าสู่เมืองใหญ่หลายแห่ง รวมถึงกรุงพนมเปญ เมืองบาเวต และเมืองพระสีหนุวิลล์ ซึ่งเน้นย้ำถึงขนาดและสถาบันที่ฝังรากลึกในกิจกรรมทางอาชญากรรมทางไซเบอร์ภายในกัมพูชา 

ข้อมูลเหล่านี้ไม่เพียงแต่สะท้อนภาพลักษณ์ที่กำลังเติบโตของกัมพูชาในฐานะศูนย์กลางอาชญากรรมไซเบอร์ระดับภูมิภาค แต่ยังเผยให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่ซับซ้อนระหว่างอำนาจทางการเมือง ความสิ้นหวังทางเศรษฐกิจ และอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งกำลังเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความท้าทายทั้งภายในและระหว่างประเทศของกัมพูชาในปัจจุบัน 

หนึ่งในความกังวลหลักของประชาคมระหว่างประเทศ รวมถึงมหาอำนาจและ UNODC ก็คือ หลักฐานที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงทางการเงินอย่างชัดเจนระหว่างชนชั้นนำทางการเมืองของกัมพูชาและอุตสาหกรรมหลอกลวงที่กำลังเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งศูนย์สแกมที่ดำเนินกิจกรรมภายใต้หน้ากากของธุรกิจที่ถูกกฎหมาย 

ตัวอย่างที่โดดเด่นคือ กลุ่มบริษัท ‘LYP Group’ ซึ่งถือสัมปทานในเขตเศรษฐกิจพิเศษเกาะกงของกัมพูชา โดยบริษัทในเครือของกลุ่มนี้ได้แก่ Koh Kong International Resort Club และบริษัท Export-Import 

กลุ่ม LYP Group ถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรและขึ้นบัญชีดำ เนื่องจากถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริต การค้ามนุษย์ การใช้แรงงานบังคับ และการหลอกลวงทางออนไลน์ 

ขณะเดียวกัน ฮุน โท หลานชายของ ฮุน เซน ก็ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายหลอกลวงออนไลน์ขนาดใหญ่ รวมถึงการยักยอกทรัพย์สินดิจิทัลมูลค่ากว่า 4.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.6 ล้านล้านบาท) ตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา 

นอกจากนี้ หลานชาย ฮุน เซน ยังมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มบริษัท ‘Huione Group’ ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่ถูกกล่าวหาว่าดำเนินการธุรกรรมทางการเงินผิดกฎหมาย เช่น การฟอกเงินและการโจรกรรมทางไซเบอร์ในภูมิภาคนี้ 

ตั้งแต่นั้นมา Huione Group ก็ถูกคว่ำบาตรโดยสหรัฐฯ และประเทศตะวันตกอื่นๆ รวมถึงถูกตัดขาดจากระบบการเงินของสหรัฐฯ โดยบริษัทอเมริกันทั้งหมดถูกห้ามเปิดบัญชี หรือทำธุรกิจใดๆ กับกลุ่มนี้ 

พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (CCIB) เปิดเผยเมื่อวันที่ 16 มิถุนายนว่า “ตำรวจไซเบอร์ไทยตรวจพบความเชื่อมโยงทางการเงินระหว่างเครือข่ายการพนันออนไลน์และศูนย์รับโทรศัพท์หลอกลวงในประเทศกับบริษัทต่างประเทศที่เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมฟอกเงิน” 

“จากการสอบสวนพบว่า เงินที่หลอกลวงจากเหยื่อชาวไทยถูกโอนผ่านบัญชีม้าเป็นทอดๆ ก่อนจะถูกแปลงเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล และสุดท้ายถูกฟอกเป็นเงินสดและทรัพย์สินจริงผ่านบริษัทหนึ่งแห่ง” 

สำนักงานเฝ้าระวังอาชญากรรมทางการเงินของสหรัฐฯ (FinCEN) เปิดเผยว่า กลุ่ม Huione Group ซึ่งตั้งอยู่ในกัมพูชา ทำหน้าที่เป็นช่องทางการเงินสำคัญสำหรับการฟอกเงินรายได้ที่ได้มาจากการโจรกรรมทางไซเบอร์ของเกาหลีเหนือ และการหลอกลวงรูปแบบ ‘pig butchering’ ซึ่งเป็นการหลอกลวงผ่านศูนย์รับโทรศัพท์ที่หลอกล่อเหยื่อให้ลงทุน ก่อนจะโกงเงินไป 

ระหว่างเดือนสิงหาคม 2021 ถึงมกราคม 2025 พบว่ากลุ่ม Huione ฟอกเงินไปเป็นจำนวนมหาศาล รวมถึง :  

  • เงิน 37 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.2 พันล้านบาท) ที่ได้มาจากการโจมตีทางไซเบอร์ของเกาหลีเหนือ 
  • เงิน 36 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.1 พันล้านบาท) จากการหลอกลวงลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล 
  • เงิน 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9.8 พันล้านบาท) จากการหลอกลวงทางไซเบอร์รูปแบบอื่นๆ 

ธนาคารแห่งชาติกัมพูชาได้เพิกถอนใบอนุญาตธนาคารของ Huione Pay เมื่อเดือนมีนาคม 2025 เนื่องจากการละเมิดกฎระเบียบต่างๆ 

การวิเคราะห์เพิ่มเติมจาก ‘Elliptic’ ซึ่งเป็นบริษัทด้านนิติวิทยาศาสตร์ของบล็อคเชน อธิบายว่า “Huione Guarantee เป็น ‘ตลาดอาชญากรรมที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์’ โดยมีธุรกรรมที่บันทึกไว้มากกว่า 27,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 8.8 แสนล้านบาท) 

“Huione Group ได้วางตำแหน่งตัวเองให้เป็นตลาดที่เป็นตัวเลือกสำหรับผู้กระทำความผิดทางไซเบอร์อันตราย รวมถึงเกาหลีเหนือและแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติ เลือกใช้เป็นช่องทางดำเนินการ โดยได้ขโมยเงินหลายพันล้านดอลลาร์จากชาวอเมริกันไป” สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าว 

(Photo by TANG CHHIN SOTHY / AFP) 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์