‘ช่องบก’ Turning Point EP.6 เส้นทางสู่ ‘รัฐบุรุษ’ ความฝันสูงสุดของ ‘ฮุน เซน’

11 มิ.ย. 2568 - 05:38

  • ย้อนอดีตดูเส้นทางขวากหนามของสมเด็จฮุนเซน กว่าจะไต่เต้าขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี

  • ความฝันอันสูงสุดของ ‘ผู้นำตระกูลฮุน’ หวังจะไปถึงจุดไหน

  • สถานการณ์พิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ถูกดึงมาสร้างเส้นทางสู่เก้าอี้ ‘รัฐบุรุษ’

‘ช่องบก’ Turning Point EP.6 เส้นทางสู่ ‘รัฐบุรุษ’ ความฝันสูงสุดของ ‘ฮุน เซน’

EP.ที่ผ่านมาถอดรหัสการเดินเกมของ ‘พ่อลูกตระกูลฮุน’ ว่า ท้ายที่สุดปัญหาข้อพิพาทในบริเวณสามเหลี่ยมมรกต ฝั่งตรงข้ามช่องบก ,ปราสาทตาเมือนธม, ตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย จะต้องถูกฝั่งกัมพูชาใช้ความพยายามในทุกวิถีทางที่จะหยิบยกขึ้นไปสู่เวทีระดับนานาชาติ 

แม้ฝ่ายไทยจะยืนยันที่จะใช้เวที JBC เป็นเวทีที่จะแก้ปัญหา แต่สุดท้ายกัมพูชาก็จะไม่ยอมรับ และไม่ยอมหยิบยกข้อพิพาทในบริเวณสามเหลี่ยมมรกต ฝั่งตรงข้ามช่องบก ,ปราสาทตาเมือนธม ,ตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ขึ้นมาพูดถึง 

เวที JBC ในวันที่ 14 มิถุนายน จะเป็นเพียงการพูดคุยปัญหาแนวเขตแดนในภาพรวม การรังวัดแนวเขตแดน และความร่วมมือในรูปแบบต่างระหว่างทั้ง 2 ประเทศ 

สมเด็จฮุน เซน และพล.อ.ฮุน มาเนต ต่างรู้ดีว่า การพูดคุยในเวที JBC ไม่อาจนำพาไปสู่ข้อยุติ เพราะนับจากไทยและกัมพูชา ลงนามใน MOU2543 เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 อันจะครบรอบ 25 ปี ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ ที่จะมีการประชุม JBC ปัญหาข้อพิพาททั้งหมดก็ไม่เคยได้ข้อยุติ 

การลงนามใน MOU43 ตั้งแต่รัฐบาล ‘ชวน หลีกภัย’ ที่ขณะนั้นมอบให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนาม ส่วนฝ่ายกัมพูชาลงนาม โดย วา กิม ฮง รัฐมนตรีอาวุโสและประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมกัมพูชา

นับจากปี 2543 จนถึงปัจจุบัน 25 ปี ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 9 คน เกิดรัฐประหารและบริหารประเทศภายใต้รัฐบาลทหารไปแล้วถึง 2 ครั้ง มีการเลือกตั้งทั่วไป 8 ครั้ง ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เป็นโมฆะ 2 ครั้ง 

ขณะที่ 25 ปีที่ผ่านมา ฝ่ายกัมพูชา มีนายกรัฐมนตรีเพียงแค่ 2 คน คือ สมเด็จฮุน เซน และ พล.อ.ฮุน มาเนตมีการเลือกตั้งทั่วไป 5 ครั้ง ทุกครั้งพรรคประชาชนกัมพูชา หรือ CPP เป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้ง

ตลอด 25 ปี ฝ่ายไทยไม่มีรัฐบาลไหน สามารถหยิบยกปัญหา MOU43 ขึ้นมาเจรจากับฝ่ายกัมพูชาจนเป็นที่ยุติ 

ตรงกันข้าม ปัญหา MOU43 สำหรับฝ่ายไทย เป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงทางการเมืองภายในประเทศเสมอ กระทั่งปี 2553 ยังนำพาไปสู่การเกิดปะทะกันระหว่างไทยและกัมพูชา อย่างรุนแรงบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร และปราสาทตาเมือนธม 

25 ปีที่ผ่านมา แม้สมเด็จฮุน เซน เฝ้ารอที่จะยึด MOU43 เพื่อจบปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา แต่ที่สุดก็ไม่มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จ 

เมื่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทยกลับมามีอำนาจอีกครั้ง ทั้งรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน และรัฐบาลของแพทองธาร ชินวัตร ซึ่ง สมเด็จฮุน เซน ยิ่งรู้ว่า ปัญหาชายแดนไทย - กัมพูชา ก็ยิ่งยากจะจบลงได้โดยง่าย 

โดยเฉพาะแทบเป็นไปไม่ได้ ที่จะจบลงในการเจรจาระดับทวิภาคี

หากยังปล่อยให้เป็นไปในรูปแบบนี้ 25 ปี ที่รอคอย…ก็จะยืดเยื้อออกไปอีก 

ฮุน เซน ในวัย 73 ปี ผ่านความสำเร็จมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่เรื่องเดียวในที่ชีวิตที่ยังประสบความสำเร็จ คือ การแก้ปัญหาชายแดนไทย - กัมพูชา 

สมเด็จฮุน เซน เกิดในครอบครัวชาวนา เข้าร่วมรบในสงครามกลางเมือง ระหว่างกองกำลังของ สมเด็จพระนโรดม สีหนุ และรัฐบาลของนายพล ลอน นอล มาตั้งแต่อายุ 18 ปี จนเติบโตขึ้นเป็นผู้บังคับกองพันของเขมรแดง และเสียตาด้านซ้ายที่บอดสนิทไปในสงคราม

ปี 2520 แยกตัวจากเขมรแดง ของฝ่าย พอล พต เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับสงครามล้างเผ่าพันธ์ที่เกิดขึ้นในเขมรเวลานั้น โดยลี้ภัยไปยังเวียดนาม และร่วมกับ เฮง สัมริน และเจีย ซิม ก่อตั้ง แนวร่วมสามัคคีประชาชาติกู้ชาติกัมพูชา(FUNSK) โดยมีเป้าหมายเพื่อโค่นล้มระบอบเขมรแดง

ปี 2522 ฮุน เซน ในวัย 27 ปี เป็นผู้นำในการโค่นล้มเขมรแดงได้สำเร็จ และขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในรัฐบาลของ เฮง สัมริน 

ปี 2528 หลังรัฐบาลเฮง สัมริน หมดอำนาจ และเวียดนามถูกกดดันให้ถอนกำลังออกจากเขมร สมเด็จฮุน เซน ก็ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวัยเพียง 33 ปี และเป็นนายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดของเขมร 

ระหว่างปี 2530 – 2533 ควบตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศอีกตำแหน่ง ทำให้สมเด็จ ฮุน เซน เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญการเมืองระหว่างประเทศ และเชี่ยวชาญด้านการทูต 

ฮุน เซน ยังมีบทบาทสำคัญในการเจรจาที่นำไปสู่ ข้อตกลงสันติภาพปารีสในปี พ.ศ. 2534 ซึ่งเป็นการยุติสงครามกลางเมืองกัมพูชา

หลังการเลือกตั้งภายใต้การดูแลของสหประชาชาติ (UNTAC) ในปี พ.ศ.2536 ฮุน เซน ได้ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีคนที่สองในรัฐบาลผสม โดยมีสมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่ง

ปี พ.ศ.2541 ฮุน เซน ได้รวมอำนาจไว้ในมือ และขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแต่เพียงผู้เดียว โดยพรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodian People's Party หรือ CPP) ภายใต้การนำของเขาได้ครองอำนาจทางการเมืองมาอย่างยาวนานและต่อเนื่อง

ปี 2550 ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ซึ่งนับว่า น่าจะเป็นจุดสูงสุดของฮุน เซน ผู้ที่เติบโตมาจากครอบครัวชาวนา 

แต่ฮุน เซน รู้ดีว่า ภายใต้ตำแหน่งสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ยังมีเงาของ สมเด็จเจ้านโรดม สีหนุ รัฐบุรุษของกัมพูชา รัฐบุรุษอันเป็นที่ยอมรับและเป็นที่รักและเทิดทูนของคนกัมพูชา ทาบอยู่เหนือเงาของเขา 

สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ผู้มีบทบาทสำคัญในการ เรียกร้องเอกราชจากฝรั่งเศส อย่างสันติวิธี 

สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ผู้ทรงได้รับการยกย่องเป็น ‘บิดาแห่งเอกราชกัมพูชา’ เมื่อทรงใช้ยุทธศาสตร์การทูตและแรงกดดันทางการเมืองอย่างชาญฉลาด จนกัมพูชาได้รับเอกราชโดยสมบูรณ์ในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2496 (ค.ศ.1953) 

สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ทรงเป็นสัญลักษณ์ของกัมพูชาในช่วงเวลาแห่งความผันผวน ทรงเป็นทั้งผู้กอบกู้เอกราช ผู้พัฒนาประเทศ และผู้ที่ต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่ยากลำบากในยุคสงครามเย็นและสงครามกลางเมือง 

สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ผู้ทรงได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘บิดาแห่งประชาชาติ’ เพราะเป็นผู้ซึ่งทุ่มเทพระองค์เพื่อเอกราช สันติภาพ และความรุ่งเรืองของกัมพูชามาโดยตลอดพระชนม์ชีพ 

สมเด็จพระนโดม สีหนุ ผู้ที่เมื่อเสด็จสวรรคตแล้ว ยังทรงดำรงพระบรมราชอิสริยยศเป็น ‘พระมหาวีรกษัตริย์ พระวรราชบิดา เอกราช บูรณภาพดินแดน และความเป็นเอกภาพแห่งชาติกัมพูชา’

เงาแห่งความยิ่งใหญ่ของ สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ที่ยังทาทาบเหนือแผ่นดินกัมพูชา ขณะที่สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ติดหล่มกับภาพความสำเร็จ ทางการเมือง ที่ทำให้ตระกูลฮุน ขึ้นมาครอบครองอำนาจ และผลประโยชน์ แบบเบ็ดเสร็จในเขมร

ภาพความร่ำรวยของคนในตระกูลฮุน ที่สวนทางกับความเป็นอยู่ทั่วไปของคนกัมพูชา ทำให้สมเด็จฮุน เซน พยายามที่จะสร้างภาพความสำเร็จในการรวมแผ่นดินกัมพูชา และสร้างความมั่งคั่งให้กับแผ่นดินกัมพูชา เพราะปัญหาความมั่นคง และปัญหาปากท้องของคนกัมพูชา จะเป็นแนวทางที่ทำให้เขาสามารถลบภาพของ สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ลงจากใจของคนกัมพูชาได้ และทำให้สามารถสืบทอดอำนาจของ ตระกูลฮุน ออกไปได้อีกระยะหนึ่ง

ฮุนเซน ลงมือแก้ปัญหาชายแดนของกัมพูชาทั้ง 3 ด้าน ทั้งฝั่งไทย ลาว และเวียดนาม โดยเริ่มที่ชายแดนเวียดนาม เพราะอาศัยความเป็นมิตรประเทศ และสหายร่วมรบ เจรจากับเวียดนาม จนสามารถแก้ปัญหาชายแดนด้านเวียดนามได้สำเร็จ 

ส่วนชายแดนฝั่งลาว แม้จะยังแก้ไขไม่จบแบบสมบูรณ์แบบ แต่ความร่วมมือระหว่างจีนและกัมพูชา ในการขุดคลองฟูนันเตโช คลองเศรษฐกิจสายสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลตระกูลฮุน ขณะที่จีนมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลลาว ก็ทำให้การแก้ปัญหาชายแดนกัมพูชา-ลาว ก็ดูจะราบรื่นและมีแนวโน้มที่ดี 

ฮุน เซน เหลือเพียงการแก้ปัญหาชายแดนด้านที่ติดกับประเทศไทย และเป็นส่วนที่ยาวที่สุด รวมทั้งเกี่ยวพันผลประโยชน์ ทั้งด้านวัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติบนบก และเขตแดนในทะเลที่เกี่ยวข้องกับเขตเศรษฐกิจจำเพาะ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานใหม่กลางอ่าวไทย  

ชายแดนด้านประเทศไทย ถือเป็นด้านที่มีผลต่อความสำเร็จทั้งการเป็นปีกแผ่นของราชอาณาจักรกัมพูชา มีผลทั้งด้านเศรษฐกิจ จากปริมาณพลังงานในอ่าวไทย ซึ่งมีมูลค่ามหาศาบที่จะส่งผลต่อการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของกัมพูชา 

ถ้า คลองฟูนันเตโช เป็นหัวใจของระบบการขนส่งที่จะเปิดสู่เส้นทางส่งออกทางทะเล โดยลดการพึ่งพาเวียดนาม 

เขตแดนไทย - กัมพูชา ที่มีเรื่องเขตเศรษฐกิจจำเพาะในทะเลรวมอยู่ ก็จะเป็นหัวใจสำคัญของระบบเศรษฐกิจ และการจ้างงานภายในกัมพูชาเช่นกัน…

สองเรื่องนี้หากสมเด็จฮุน เซน ผลักดันได้สำเร็จ เส้นทางสู่การเป็นรัฐบุรุษที่ได้รับการยกย่องจากคนกัมพูชา เฉกเช่น หรือ เหนือกว่า สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ก็ไม่ไกลเกินฝัน 

เพราะเมื่อเทียบกัน สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ได้รับการยกย่องในฐานะนักสู้เพื่อเอกราชของคนกัมพูชา แต่ไม่ประสบความสำเร็จในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพราะตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์แผ่นดินกัมพูชาเต็มไปด้วยไฟสงครามมาโดยตลอด 

หาก ‘พ่อ-ลูกตระกูลฮุน‘ เดินหน้าเอาเรื่องเขตแดนไทย – กัมพูชา เข้าสู่การพิจารณาในระดับนานาชาติได้สำเร็จ และได้ข้อยุติด้านเขตแดนทั้งบนบกและในทะเล ไม่ว่าผลจะออกมาในรูปแบบไหน กัมพูชาก็จะเดินหน้าเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นในทะเลได้ทันที 

EP.หน้า จะเจาะลึกลงไปบนเส้นทางการต่อสู้ว่า พ่อ-ลูกคู่นี้ จะประสบความสำเร็จหรือไม่ และการยึด ‘ช่องบก’ เป็นกระดานหกไปสู่เส้นทางการเป็นรัฐบุรุษ และสานต่ออำนาจ ตระกูลฮุน ในกัมพูชา จะประสบความสำเร็จแค่ไหน และไทยควรรับมือเกมการเมืองระหว่างประเทศที่ลึกล้ำของพ่อ-ลูกคู่นี้อย่างไร

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์


‘ช่องบก’ Turning Point เส้นทางสู่ ‘รัฐบุรุษ’ ความฝันสูงสุดของ ‘ฮุน เซน’