เจาะลึก ‘บังเกอร์บัสเตอร์’ อาวุธหนึ่งเดียวที่ทำลายโรงงานนิวเคลียร์ใต้ดินของอิหร่านได้

18 มิ.ย. 2568 - 09:26

  • ฟอร์โดว์เป็นแรงงานเสริมสมรรถนะนิวเคลียร์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอิหร่านรองจากโรงงานนาทันซ์ ได้รับการปกป้องโดยระบบขีปนาวุธที่ยิงจากพื้นดินสู่อากาศ

  • ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า แทบจะไม่มีทางทำลายโรงงานนิวเคลียร์ใต้ดินฟอร์โดว์ได้เลย ยกเว้นระเบิดบังเกอร์บัสเตอร์ของสหรัฐฯ

  • ระเบิดบังเกอร์บัสเตอร์ GBU-57 A/B เป็นระเบิดที่ไม่ใช่อาวุธนิวเคลียร์ที่ทรงพลังที่สุดในคลังแสงของสหรัฐฯ

เจาะลึก ‘บังเกอร์บัสเตอร์’ อาวุธหนึ่งเดียวที่ทำลายโรงงานนิวเคลียร์ใต้ดินของอิหร่านได้

อุโมงค์ 5 อุโมงค์ที่เจาะเข้าไปในกลุ่มภูเขา โครงสร้างรองรับขนาดใหญ่ และเขตรักษาความปลอดภัยที่กว้างขวาง นั่นคือสภาพภายนอกของโรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียมฟอร์โดว์ (Fordow) อันลึกลับของอิหร่านทั้งหมดที่เราเห็นจากภาพถ่ายดาวเทียมล่าสุด

นายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอลเผยว่า เป้าหมายของการเปิดปฏิบัติการ “สิงโตผงาด” (Rising Lion) คือการกำจัดโครงการขีปนาวุธและนิวเคลียร์ของอิหร่าน และฟอร์โดว์เป็นส่วนหนึ่งของแผนการนี้

ฟอร์โดว์เป็นแรงงานเสริมสมรรถนะนิวเคลียร์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอิหร่านรองจากโรงงานนาทันซ์ (Natanz) ที่เป็นโรงงานหลัก และเล็กกว่าโรงงานนาทันซ์ ตั้งอยูท่ามกลางหุบเขาใกล้กับเมืองกอม (Qom) ซึ่งห่างจากกรุงเตหะรานไปทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 95 กิโลเมตร

โถงหลักของฟอร์โดว์อยู่ลึกลงไปตื้นดินราว 80-90 เมตร และได้รับการปกป้องโดยระบบขีปนาวุธที่ยิงจากพื้นดินสู่อากาศของอิหร่านและรัสเซีย

ข้อมูลของฟอร์โดว์มีไม่มากนัก และส่วนหนึ่งที่เรารู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็มาจากเอกสารอิหร่านจำนวนมากที่ถูกหน่วยข่าวกรองของอิสราเอลขโมยไปเมื่อหลายปีก่อน

ภาพถ่ายทางดาวเทียมของ Maxar Technologies เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. เผยให้เห็นโรงงานเสริมสมรรถนะฟอร์โดว์ทางตอนกลางของอิหร่าน Photo by Satellite image ©2025 Maxar Technologies / AFP
ภาพถ่ายทางดาวเทียมของ Maxar Technologies เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. เผยให้เห็นโรงงานเสริมสมรรถนะฟอร์โดว์ทางตอนกลางของอิหร่าน Photo by Satellite image ©2025 Maxar Technologies / AFP

คาดกันว่าอิหร่านเริ่มสร้างฟอร์โดว์ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 ภาพถ่ายดาวเทียมที่เผยแพร่ต่อสาธารณะแสดงให้เห็นการทำงานที่บริเวณดังกล่าวย้อนหลังไปได้ถึงปี 2004 โดยภาพถ่ายเผยให้เห็นโครงสร้างสี่เหลี่ยมสีขาว 2 แห่งซึ่งเป็นทางเข้าอุโมงค์ในปัจจุบัน ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ระบุว่า มีภาพถ่ายเพิ่มเติมที่แสดงให้เห็นการก่อสร้างย้อนหลังไปได้ถึงปี 2002

ปี 2009 โครงสร้างรองรับขนาดใหญ่ภายนอกถูกสร้างขึ้นจนเสร็จสมบูรณ์ แต่ยังเดินหน้าขึดเจาะสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าเป็นช่องระบายอากาศ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการให้อากาศไหลเวียนเข้าไปในอาคาร ต่อมาช่องดังกล่าวถูกปกปิดและพรางตา ซึ่งภาพล่าสุดก็ยังแสดงให้เห็นช่องที่ว่านี้ด้วย

ตอนนั้นอิหร่านเขียนจดหมายลงวันที่เดือนตุลาคม 2009 อธิบายให้ IAEA ทราบว่า การตัดสินใจสร้างโรงงานใต้ดินเป็นผลจาก “ภัยคุกคามจากการโจมตีทางทหารต่ออิหร่าน” และฟอร์ดอว์จะทำหน้าที่เป็นหน่วยสำรองสำหรับโรงงานนาทันซ์ที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งอิหร่านอ้างว่า “เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ถูกคุกคามด้วยการโจมตีทางทหาร”

อิหร่านแจ้งต่อ IAEA ว่า โรงงานฟอร์โดว์สามารถเก็บเครื่องเหวี่ยงได้ถึง 3,000 เครื่อง แต่ปัจจุบันมีอยู่ 2,700 เครื่อง

เยชิเอล ไลเตอร์ ทูตอิสราเอลประจำสหรัฐฯ เผยกับ Merit TV ว่า สหรัฐฯ คือประเทศเดียวที่ครอบครองระเบิดที่จำเป็นต้องใช้ในการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ฟอร์โดว์ของอิหร่าน

“หากจะระเบิดฟอร์โดว์จากบนฟ้า ประเทศเดียวในโลกที่มีระเบิดนั้นก็คือสหรัฐฯ และสหรัฐฯ ต้องเป็นฝ่ายตัดสินใจว่าจะดำเนินตามแนวทางนั้นหรือไม่” ไลเตอร์กล่าว และกล่าวเสริมว่า แต่นั่นไม่ใช่ทางเลือกเดียว “ยังมีวิธีอื่นๆ ในการจัดการกับฟอร์โดว์อีก”

เครื่องบินทิ้งระเบิด B-2 ทิ้งระเบิดบังเกอร์บัสเตอร์
เครื่องบินทิ้งระเบิด B-2 ทิ้งระเบิดบังเกอร์บัสเตอร์

หากสหรัฐฯ เลือกจะให้ความช่วยเหลืออิสราเอลโดยตรง สิ่งที่เป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะให้ได้คือ “ระเบิดบังเกอร์บัสเตอร์” (bunker-buster bomb) และมีเพียงเครื่องบินของสหรัฐฯ เท่านั้นที่ทิ้งระเบิดชนิดนี้ได้ และหากไม่นับการโจมตีด้วยหน่วยคอมมานโดภาคพื้นดิน หรือการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ระเบิดบังเกอร์บัสเตอร์ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด

บังเกอร์บัสเตอร์เป็นคำกว้างๆ ที่ใช้เรียกระเบิดที่ถูกออกแบบให้แทรกซึมลึกลงไปใต้ดินก่อนระเบิด ในกรณีนี้ก็คือ ระเบิดทำลายบังเกอร์ GBU-57 A/B ซึ่งเป็นระเบิดขนาดใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อทำลายเป้าหมายที่แข็งแกร่งและอยู่ลึกลงไปใต้ดิน เช่น บังเกอร์ที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนาและอุโมงค์ เป็นระเบิดที่ไม่ใช่อาวุธนิวเคลียร์ที่ทรงพลังที่สุดในคลังแสงของสหรัฐฯ

บังเกอร์บัสเตอร์ 1 ลูกหนักราว 13,600 กิโลกรัม คาดว่าสามารถแทรกซึมลึกลงไปใต้พื้นผิวราว 61 เมตรก่อนที่จะระเบิด ระเบิดชนิดนี้สามารถทิ้งได้ต่อเนื่องเพื่อสร้างความเสียหายให้ลึกขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละครั้งที่เกิดการระเบิด

รายงานฉบับเดือนมีนาคมของ Royal United Services Institute ในสหราชอาณาจักรระบุว่า “แม้แต่ GBU-57/B ก็ต้องทิ้งหลายครั้งในจุดเดียวกันเพื่อให้มีโอกาสเจาะทะลุเข้าไปได้”

นักวิเคราะห์รายอื่นๆ เห็นด้วย โดยกล่าวว่า หากสหรัฐฯ พยายามโจมตีโรงงานฟอร์โดว์ คงไม่สามารถทำได้ด้วยระเบิดเพียงลูกเดียว เซดริก เลย์ตัน นักวิเคราะห์ด้านการทหารของ CNN ซึ่งเป็นอดีตพันเอกกองทัพอากาศสหรัฐฯ เผยว่า “ผมมองว่าจะต้องโจมตีฟอร์โดว์ซ้ำๆ”

กองทัพอากาศสหรัฐฯ ระบุว่า ในทางทฤษี GBU-57 A/B สามารถทิ้งจากเครื่องบินทิ้งระเบิดชนิดใดก็ได้ที่รองรับน้ำหนักของระเบิดได้ แต่ ณ ขณะนี้สหรัฐฯ กำหนดค่าและตั้งโปรแกรมให้เครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน B-2 Spirit เท่านั้นที่ทิ้งระเบิดชนิดนี้ได้  

และเครื่องบินทิ้งระเบิด B-2 ก็ใช้เฉพาะในกองทัพอากาศสหรัฐฯ เท่านั้น กองทัพอิสราเอลไม่มี

Northrop Grumman ผู้ผลิตระบุว่า B-2 บรรทุกน้ำหนักได้ 18,000 กิโลกรัม แต่กองทัพอากาศสหรัฐฯ เคยประสบความสำเร็จในการทดสอบเครื่องบิน B-2 ที่บรรทุกระเบิด GBU-57 A/B จำนวน 2 ลูก ซึ่งมีน้ำหนักรวมประมาณ 27,200 กิโลกรัม

B-2 บินได้ไกลถึง 11,000 กิโลเมตรโดยไม่ต้องเติมเชื้อเพลิง และหากเติมเชื่อเพลิง 1 ครั้งจะบินได้ไกล 18,500 กิโลเมตร และยังบินไปที่ไหนก็ได้ในโลกภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

ส่วนสหรัฐฯ จะยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

Photo by Wikipedia/public domain

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์