นับตั้งแต่อิสราเอลเปิดฉากโจมตีอิหร่านเมื่อวันศุกร์ที่ 13 มิ.ย. เสียงเรียกร้องให้เปลี่ยนระบอบของอิหร่านก็เริ่มดังขึ้น โดยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ต่างยกประเด็นความเป็นไปได้ที่จะโจมตีผู้นำที่ทรงอำนาจที่สุดของเตหะรานอย่าง อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี
ชาวอิหร่านหลายคนเคยมีประสบการณ์โดยตรงกับการที่สหรัฐฯ บังคับใช้การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในประเทศของพวกเขามาแล้ว
เรามาดูกันว่าครั้งนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง
บ่อน้ำมัน: ปี 1953 สหรัฐฯ ช่วยทำรัฐประหารเพื่อโค่นล้ม โมฮัมหมัด โมซาดเดกห์ นายกรัฐมนตรีอิหร่านที่ได้รับการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย
โมซาดเดกห์ให้คำมั่นว่าจะยึดแหล่งน้ำมันของประเทศเป็นสมบัติของชาติ เพื่อทวงคืนอำนาจอธิปไตยจากการควบคุมของอังกฤษ สหรัฐฯ และบริเตนใหญ่เห็นว่าเป็นเรื่องร้ายแรง เนื่องจากทั้งสองประเทศต้องพึ่งพาน้ำมันจากตะวันออกกลาง
ช่วงพีคของสงครามเย็น: การทำให้บ่อน้ำมันเป็นสมบัติของชาติได้รับความนิยมในอิหร่านและเป็นชัยชนะของสหภาพโซเวียตในขณะนั้น

ทำให้ชาร์แข็งแกร่งขึ้น: เป้าหมายของการทำรัฐประหารคือ การสนับสนุนให้ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี กษัตริย์แห่งอิหร่าน ขึ้นครองราชย์เป็นชาห์แห่งอิหร่าน และแต่งตั้ง พล.ต. ฟาซโลเลาะห์ ซาเฮดี เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่
รัฐประหาร: ก่อนเกิดการรัฐประหาร CIA และหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษ (SIS) ช่วยใช้โฆษณาชวนเชื่อกระพือกระแสต้านโมซาดเดกห์ ปี 1953 CIA และ SIS ช่วยดึงมวลชนที่สนับสนุนชาร์ออกมาแล้วรวมตัวประท้วงโมซาดเดกห์ครั้งใหญ่ ซึ่งไม่นานกองทัพก็เข้าร่วมด้วย
เงินสดของสหรัฐฯ: เพื่อให้ซาเฮดี นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศ มีเสถียรภาพในระดับหนึ่ง เอกสารระบุว่า ซีไอเอจัดหาเงินสด 5,000,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับเขาภายในเวลาสองวันหลังจากที่เขาเข้ารับตำแหน่ง
สหรัฐฯ ยอมรับ: ปี 2013 เอกสารลับของ CIA ได้รับการเปิดเผย ซึ่งยืนยันถึงการมีส่วนเกี่ยวข้องของหน่วยงานนี้เป็นครั้งแรก แต่บทบาทของสหรัฐฯ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว โดยอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา ยอมรับถึงการมีส่วนเกี่ยวข้องในการก่อรัฐประหารในปี 2009

ผลลัพ์ที่ตรงกันข้าม: หลังจากโค่นล้มโมซาดเดกห์ สหรัฐฯ ก็เริ่มสนับสนุนให้ปาห์ลาวีขึ้นครองราชย์เป็นชาห์ ชาวอิหร่านไม่พอใจกับการแทรกแซงจากต่างชาติ ส่งผลให้ความรู้สึกต่อต้านอเมริกาในอิหร่านทวีความรุนแรงขึ้นเป็นเวลาหลายทศวรรษ
การปฏิวัติอิสลาม: ชาห์กลายเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของสหรัฐฯ แต่ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ชาวอิหร่านหลายล้านคนออกมาเดินขบวนบนท้องถนนเพื่อต่อต้านระบอบการปกครองของชาร์ ซึ่งพวกเขามองว่าเป็นการฉ้อฉลและไร้ความชอบธรรม ผู้ประท้วงฝ่ายฆราวาสต่อต้านระบอบอำนาจนิยมของเขา ในขณะที่ผู้ประท้วงฝ่ายอิสลามนิยมต่อต้านแผนการปรับปรุงสิ่งต่างๆ ให้ทันสมัยของชาร์
ชาห์ถูกโค่นล้มในการปฏิวัติอิสลามในปี 1979 ซึ่งเป็นการสิ้นสุดของระบอบกษัตริย์ที่ได้รับการสนับสนุนจากชาติตะวันตก และเป็นจุดเริ่มต้นของสาธารณรัฐอิสลามและการปกครองโดยนักบวชมาจนถึงทุกวันนี้