สภาคองเกรสกำลังหาทางจำกัดอำนาจทรัมป์ทำสงคราม

24 มิ.ย. 2568 - 07:47

  • ส.ส.พรรคเดโมแครตและรีพับลิกันต่างเสนอกฎหมายจำกัดอำนาจในการทำสงครามของทรัมป์

  • ส.ส. บางคนบอกว่า คนอเมริกันเหนื่อยหน่ายกับสงครามที่ไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว โดยย้อนไปถึงสงครามอิรักและอัฟกานิสถาน

สภาคองเกรสกำลังหาทางจำกัดอำนาจทรัมป์ทำสงคราม

หลังประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ตัดสินใจส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหนและเรือดำน้ำถล่มโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน สมาชิกสภาคองเกรสทั้งจากพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันต่างเรียกร้องให้สภาคองเกรสควบคุมการใช้กำลังทหารของทรัมป์ในอิหร่าน และป้องกันไม่ให้สหรัฐฯ เข้าไปเกี่ยวข้องในความขัดแย้งที่รุนแรงยิ่งขึ้นในตะวันออกกลาง

ทิม เคน วุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครตจากรัฐเวอร์จิเนีย เสนอมาตรการกำหนดให้ทรัมป์ยุติการสู้รบกับอิหร่าน  เว้นแต่จะได้รับอนุญาตอย่างชัดเจนในการประกาศสงครามจากรัฐสภา

เคนเผยกับ CBS ว่า “นี่คือการที่สหรัฐฯ ก้าวเข้าสู่สงครามตามการชักนำของโดนัลด์ ทรัมป์ โดยไม่มีผลประโยชน์ด้านความมั่นคงแห่งชาติที่ชัดเจนเพียงพอที่จะให้สหรัฐฯ ดำเนินการในลักษณะนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยไม่ต้องมีการอภิปรายและลงคะแนนเสียงในคองเกรส”

เช่นเดียวกับ โธมัส แมสซี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครีพับลิกันจากรัฐเคนทักกี ที่เสนอมติต่อต้านการเข้าไปแทรกแซงของสหรัฐฯ โดยห้ามให้สหรัฐฯ ปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองหรือผลประโยชน์ของพันธมิตร

“ผมคือตัวแทนของส่วนหนึ่งของกลุ่มพันธมิตรที่เลือกทรัมป์ พวกเราเหนื่อยหน่ายกับสงครามที่ไม่สิ้นสุดแล้ว”

โธมัส แมสซี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครีพับลิกันจากรัฐเคนทักกี

ทั้งเคนและแมสซีต่างก็บอกว่า ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ทรัมป์จะตัดสินใจโดยฝ่ายเดียว ไม่มีภัยคุกคามที่ใกล้จะเกิดขึ้นกับสหรัฐฯ และว่าพวกเขาไม่ได้รับการบรรยายสรุปเรื่องดังกล่าว

แต่ ไมค์ จอห์นสัน ประธานสภา และจอห์น ธูน ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา ได้รับแจ้งเรื่องปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ ล่วงหน้า

นอกจากนี้ ทหารผ่านศึก 12 คนในกลุ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครตเขียนจดหมายประกาศสนับสนุนมติกฎหมายอำนาจในการทำสงคราม (War Powers Act) ที่พรรเดโมแครตเสนอ ทั้ง 12 คนนี้ ซึ่งบางคนเคยไปรบในอิรักและอัฟกานิสถาน วิจารณ์การตัดสินใจเปิดปฏิบัติการทางอากาศถล่มอิหร่านโดยไม่ได้รับการอนุมติจากคองเกรสของทรัมป์อย่างดุเดือด

“20 ปีที่แล้ว นักการเมืองจากทั้งสองพรรคต่างรีบเร่งแสดงตนว่าเข้มแข็งและแข็งแกร่ง แต่กลับล้มเหลวที่จะถามคำถามยากๆ ก่อนที่จะเริ่มสงครามในอิรักและอัฟกานิสถาน เราขอไม่ทำผิดพลาดแบบเดียวกันอีก”

จดหมายระบุ

อเล็กซานเดรีย โอคาซิโอ-คอร์เตซ สมาชิกสภาคองเกรสจากนิวยอร์ก เรียกร้องให้ถอดถอนทรัมป์จากตำแหน่ง โดยบอกว่าการโจมตีเป็น “การละเมิดรัฐธรรมนูญและอำนาจในการประกาศสงครามของคองเกรสอย่างร้ายแรง”

ทั้งนี้ มาตราหนึ่งของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ กำหนดว่า รัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติมีอำนาจในการประกาศสงคราม ขณะที่รัฐธรรมนูญมาตรสองกำหนดให้ประธานาธิบดีเป็นผู้รับผิดชอบในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกองทัพ เพื่อถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายต่างๆ และป้องกันการนำประเทศเข้าสู่สงครามโดยปราศจากการไตร่ตรอง หรือด้วยการตัดสินใจเพียงฝ่ายเดียว

อย่างไรก็ตาม ในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ นั้น ฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหารมักจะขัดแย้งกันเสมอในการตีความเรื่องอำนาจการประกาศและทำสงครามตามรัฐธรรมนูญ

ในปี ค.ศ. 1973 สภาคองเกรสได้ออกกฎหมายชื่อ War Powers Act หรือกฎหมายอำนาจในการทำสงคราม  เพื่อกำหนดบทบาทหน้าที่ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในส่วนที่เกี่ยวกับปฏิบัติการทางทหารในต่างประเทศ กฎหมายฉบับนี้เป็นผลจากการที่ประธานาธิบดีนิกสันในขณะนั้น สั่งให้กองทัพสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดโจมตีเป้าหมายในกัมพูชาในช่วง “สงครามเวียดนาม” อย่างลับๆ ทั้งที่สภาคองเกรสไม่ได้ประกาศสงคราม

War Powers Act กำหนดว่า ในกรณีที่กองทัพสหรัฐฯ ถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ในต่างประเทศขณะที่ยังไม่มีการประกาศสงคราม ประธานาธิบดีจะต้องรายงานเป็นลายลักษณ์อักษรต่อสภาคองเกรส ประธานสภา และประธานวุฒิสภาชั่วคราวภายใน 48 ชั่วโมง และจะต้องให้คำอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับการตัดสินใจดังกล่าว อาทิ จุดประสงค์ของปฏิบัติการ ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ และโอกาสที่ชาวอเมริกันจะเสียชีวิต

นอกจากนี้ ยังกำหนดว่า ประธานาธิบดีจะส่งกองทัพสหรัฐฯ ไปปฏิบัติหน้าที่ในต่างประเทศได้ไม่เกิน 60 วันเท่านั้น หากไม่ได้แจ้งให้สภาคองเกรสทราบก่อน

แต่กรณีของทรัมป์ล่าสุดนี้ เนื่องจากผู้นำพรรครีพับลิกันในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรต่างก็สนับสนุนการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านของสหรัฐฯ อย่างแข็งขัน จึงดูเหมือนว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ที่มติใดๆ ที่ยืนยันอำนาจของรัฐสภาในการประกาศสงครามและจำกัดการกระทำของทรัมป์จะผ่านสภาทั้งสองได้

Photo by CARLOS BARRIA / POOL / AFP

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์