เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ แจ้งต่อสมาชิกรัฐสภาว่า กองกำลังของจีนที่มีขีดความสามารถสูงขึ้นเรื่อยๆ กำลังกลายเป็นภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นต่อฐานทัพสหรัฐฯ และพันธมิตรด้านความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
กองกำลังจรวดปลดปล่อยประชาชนจีน (PLARF) รับผิดชอบดูแลคลังขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์ของจีน และถือเป็นส่วนสำคัญของความพยายามของจีนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางทหารชั้นนำของภูมิภาคแซงหน้าสหรัฐฯ
ในบางด้าน ขีดความสามารถของกองกำลังของจีนได้แซงหน้าสหรัฐฯ ไปแล้ว เช่น ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงที่เรียกว่า ‘ขีปนาวุธพิฆาตเรือบรรทุกเครื่องบินความเร็วเหนือเสียง’ (carrier killer hypersonic missiles) แม้อาวุธเหล่านี้จะยังไม่เคยถูกนำมาใช้จริงในสนามรบ แต่ก็มีศักยภาพที่จะยับยั้ง หรือจำกัดการเคลื่อนไหวของกองกำลังสหรัฐฯ ในกรณีเกิดสถานการณ์สงคราม
กองกำลัง PLARF กำลังเดินหน้าพัฒนายุทธศาสตร์ระยะยาวเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการยับยั้งเชิงยุทธศาสตร์ของตัวเองอย่างต่อเนื่อง
คลังขีปนาวุธของจีนประกอบด้วย : ขีปนาวุธร่อนยิงจากพื้นดินประมาณ 400 ลูก ที่สามารถโจมตีเป้าหมายได้ทั่วทั้ง ‘First Island Chain’ (แนวโซ่เกาะแรก) ซึ่งเป็นแนวเกาะตั้งแต่ญี่ปุ่นถึงอินโดนีเซียที่สหรัฐฯ ถือว่ามีความสำคัญในการควบคุมกองทัพเรือจีนในกรณีเกิดความขัดแย้ง เช่น กรณีข้อพิพาทในไต้หวันที่จีนอ้างสิทธิ์
นอกจากนี้ จีนยังมีขีปนาวุธพิสัยกลาง 1,300 ลูกที่สามารถโจมตีเป้าหมายใน ‘Second Island Chain’ (แนวโซ่เกาะที่สอง) หรือแนวของกลุ่มเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ซึ่งรวมถึงฐานทัพสหรัฐฯ ในเกาะกวม
ขีปนาวุธพิสัยกลางอีก 500 ลูกสามารถโจมตีพื้นที่บางส่วนของอลาสก้าและออสเตรเลียซึ่งเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ ได้ ขณะที่ขีปนาวุธพิสัยใกล้ประมาณ 900 ลูกสามารถข้ามช่องแคบไต้หวันได้อย่างง่ายดายเพื่อโจมตีประเทศประชาธิปไตยที่ปกครองตัวเอง อีกทั้งยังมีขีปนาวุธขีดความสามารถข้ามทวีปจำนวน 400 ลูก ที่สามารถยิงหัวรบนิวเคลียร์ได้ในทุกพื้นที่ทั่วโลก
อย่างไรก็ดี ความก้าวหน้าทางทหารของจีนสะท้อนถึงความพยายามของจีนในการเสริมสร้างความสามารถในการยับยั้งเชิงยุทธศาสตร์และเพิ่มขีดความสามารถทางทหาร เพื่อท้าทายอำนาจของสหรัฐฯ และขยายอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและทั่วโลก
เจ้าหน้าที่ระดับสูงกล่าวว่า “ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง ‘Dong Feng-17' (DF-17) ของจีน อาจเข้ามาแทนที่ระบบขีปนาวุธรุ่นเก่าๆ มากขึ้นเรื่อยๆ และมีศักยภาพในการโจมตีฐานทัพต่างชาติและกองเรือในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก”
แม้ว่าจีนยังมีจำนวนหัวรบนิวเคลียร์น้อยกว่าสหรัฐฯ และรัสเซียอย่างมาก แต่จีนได้ขยายกองกำลังนิวเคลียร์อย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่าเป็นผลจากนโยบายของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่เน้นถึงการยับยั้งการใช้อาวุธนิวเคลียร์ต่อสหรัฐฯ
กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ประเมินว่าจีนได้ติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์เกิน 600 หัวเมื่อปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มที่จะมีหัวรบนิวเคลียร์ที่ใช้งานได้จริงมากกว่า 1,000 หัวในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
นอกเหนือจากระบบขีปนาวุธแล้ว เจ้าหน้าที่ยังกล่าวถึงแนวคิด ‘kill webs’ หรือเครือข่ายที่ประกอบด้วยเซนเซอร์ ดาวเทียม และอาวุธต่างๆ ที่สามารถตรวจจับภัยคุกคาม แลกเปลี่ยนข้อมูล และประสานการตอบโต้ทางทหารในทุกมิติ ทั้งทางอากาศ พื้นดิน ทะเล และอวกาศ
“ความกังวลที่ใหญ่ที่สุดของผมคือ ‘kill web’ ที่จีนจัดตั้งขึ้น ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถติดตามและโจมตีเป้าหมายในระยะไกลของกองกำลังร่วมในทุกมิติได้อย่างมีประสิทธิภาพ...พวกเขาได้สร้างเครือข่าย ISR (การข่าว การลาดตระเวน และการสอดแนม) ที่มีความสามารถสูงในวงโคจรอวกาศ และถ้าเราต้องการปกป้องกองกำลังร่วม เราจำเป็นต้องลดผลกระทบที่เกิดจากกลุ่มดาวเทียมเหล่านั้นให้ได้”
— พลตรีแชนซ์ ซอลท์ซ์แมน ผู้บัญชาการปฏิบัติการกองทัพอวกาศสหรัฐฯ กล่าวในที่ประชุม
พลเอกเดวิด อัลวิน ผู้บัญชาการกองทัพอากาศสหรัฐฯ กล่าวว่า “จีนกำลังเร่งพัฒนากองทัพของตัวเองอย่างรวดเร็ว โดยมีเจตนาอย่างชัดเจนที่จะเปลี่ยนแปลงระเบียบระหว่างประเทศ รวมถึงการพัฒนาขีดความสามารถยับยั้งนิวเคลียร์ที่ไม่มีใครเทียบได้”
(Photo by GREG BAKER / AFP)