‘ปชน.’ ไล่บี้ ‘นายกฯ’ ลาออก เซ่นคลิปคุยซูเอี๋ย ‘ฮุน เซน’

18 มิ.ย. 2568 - 09:30

  • หมดเวลาแล้ว! ‘ปชน.’ ได้ทีขึงขังไล่บี้ ‘นายกฯ’ ลาออก เซ่นคลิปเสียงคุยซูเอี๋ย ‘ฮุน เซน’

  • สอนมวยถึงอ้าง ‘เอาน้ำเย็นเข้าลูบ’ ก็ไม่ควรทำ

  • ตกใจมากไปเสิร์ฟ ‘ผู้นำเขมร’ ต้องการอะไรจะจัดหาให้ ข้องใจจะมั่นใจ ‘แพทองธาร’ ได้อย่างไรต่อ ย้ำหมดความชอบธรรมแล้ว ให้กำลังใจ ‘แม่ทัพภาคที่ 2’ ทำงานตามหน้าที่ อย่าปล่อยให้กัมพูชาได้สิ่งที่ต้องการ

‘ปชน.’ ไล่บี้ ‘นายกฯ’ ลาออก เซ่นคลิปคุยซูเอี๋ย ‘ฮุน เซน’

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีที่ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกมายอมรับเรื่องคลิปเสียงสนทนา กับสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชาว่า น่าตกใจอย่างมาก เพราะนายกฯ นอกจากจะเป็นประมุขฝ่ายบริหาร ยังดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ผอ.กอ.รมน.) และเป็นประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งสำคัญ ในเรื่องการปกป้องอธิปไตย และความมั่นคงของชาติ

วิโรจน์ กล่าวว่า ยังเผื่อใจเอาไว้ว่าจะเป็นคลิปเสียงจริงหรือไม่ แต่หลังจากฮุนเซน และ นายกฯ ที่สุดท้ายยอมรับว่า เป็นคลิปเสียงจริง แต่ระบุว่าเป็นเทคนิคในการเจรจา ให้โอนอ่อนผ่อนตาม แต่ในฐานะที่นายกฯ เป็นประมุขฝ่ายบริหาร ต้องตระหนักเอาไว้ว่า สมควรหรือไม่ เพราะการเจรจาไม่มีประโยคใดเลย ที่ยืนยันในความชอบธรรม และจุดยืนของประเทศไทย ในการปกป้องอธิปไตยของชาติ ไม่มี และยากจะเข้าใจได้ที่สุดคือการดิสเครดิตทีมงานด้วยกัน หากติดตามการให้สัมภาษณ์ในทุกเวที ทุกโอกาส จะให้ความเห็นในลักษณะที่ไม่ได้ต่อว่า นายกฯ มาโดยตลอด หากติดตามทุกโพสต์ แม้ว่าจะมีกลิ่นของการติติงบ้าง แต่จะอยู่ในลักษณะของการให้ข้อเสนอแนะกับนายกฯ ไม่ว่าจะเรื่องของการจัดการเส้นเงิน ที่เชื่อมโยงระหว่างกลุ่มทุนกับกลุ่มทุน หรือกับเครือข่ายทุนไทย ที่อาจเกี่ยวพันกับการกระทำผิดกฎหมาย และอาชญากรรมที่ส่งผลเสียต่อประเทศ ซึ่งมีคนไทยตกเป็นผู้เสียหายจำนวนมาก ซึ่งน่าจะเป็นการกดดันที่มีประสิทธิผล เพื่อจูงใจให้รัฐบาลกัมพูชา หันกลับเข้ามาสู่โต๊ะเจรจา

“ผมแทบจะไม่เคยมีท่าทีในการโจมตีรัฐบาล เพราะผมตระหนักดีว่า ห้วงเวลานี้ เป็นห้วงเวลาที่เราต้องมีเอกภาพในการทำงานร่วมกัน การติติงทำได้ แต่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะมาโจมตีกันทางการเมือง ในฐานะฝ่ายค้าน และประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ที่พยายามสนับสนุนรัฐบาลมาโดยตลอด ผมรู้สึกตกใจ และผิดหวัง เป็นอย่างมาก และคงต้องตั้งคำถามกลับว่า ประชาชนจะไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ที่ชื่อแพทองธาร ชินวัตร ต่อไปได้อย่างไร กับประโยคที่เรียกสมเด็จฮุนเซนว่า Uncle ซึ่งไม่ควรเป็นท่าทีของนายกฯ”

 วิโรจน์ กล่าว

วิโรจน์ กล่าวว่า อีกประโยคที่ตกใจมากๆ คือ การที่บอกว่า ถ้าสมเด็จฮุนเซนต้องการอะไรจะจัดการให้ นี่หรือคือการเจรจา ฟังจนจบ ไม่มีการพูดถึงจุดยืน ของประเทศเลย หรือที่จะพูดถึงกรณีที่เรายึดมั่นใน MOU 43 ก็ไม่มี อาจจะไม่ต้องพูดด้วยเสียงแข็งกร้าวก็ได้ แต่ควรมีการยืนยันจุดยืนว่า พื้นที่ตรงนั้นเป็นอธิปไตยของไทย และควรยืนยันว่า จะคลี่คลายปัญหาอย่างสันติวิธี ก็พูดได้ แต่ไม่ได้ยินประโยคอะไรในลักษณะโหนี้

วิโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นี่คือการสะท้อนแนวคิดของนายกฯ ที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ส่วนตัวย้ำเสมอว่า การคลี่คลายข้อพิพาทในครั้งนี้ ต้องใช้การสื่อสารทางการเมืองที่มีประสิทธิภาพ ทั้งเวทีสากล สหประชาชาติ อาเซียน หรือทูตานุทูตก็ดี รวมถึงการสื่อสารกับประชาชนทั้งฝั่งตัวเองและฝั่งกัมพูชาก็ดี ตลอดจนการใช้กลไกของกระทรวงการต่างประเทศก็ดี แต่นายกฯ ไม่รับฟัง ยังคงมีนิสัยเหมือนเดิม คือใช้การดีล การคุยในทางลับ ซึ่งยืนยันมาเสมอว่า สมเด็จฮุนเซน และฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูพา คือกลไกสำคัญ ที่ก่อให้เกิดข้อพิพาทในครั้งนี้

“ผมเคยย้ำไปแล้วว่า ถ้าเป็นมิตรกัน ท่านคงไม่ทำอย่างนี้หรอก ณ วันนี้ ต้องเอาความสัมพันธ์ที่ดีวางไว้ข้างหลังไกลๆ และต้องมองบทบาทตัวเอง ทำหน้าที่ไป แต่นายกฯ ก็ไม่รับฟัง ผมมองว่า คลิปที่เกิดขึ้นนี้ หมดเวลาท่านนายกฯ แล้วครับ ผมยืนยันในจุดนี้ ผมไม่อยากพูดคำนี้ แต่ผมไม่รู้ว่า จะพูดแบกท่านนายกฯ ต่อไปอย่างไร ที่จะทำให้ประชาชนคนไทยกลับมาให้ความเชื่อมั่นกับนายกรัฐมนตรี ที่ชื่อแพทองธาร ชินวัตร ในการคลี่คลายปัญหาข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาต่อไป จะมั่นใจได้อย่างไรว่า การตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี จะคิดถึงผลประโยชน์ประเทศชาติเป็นหลัก นี่คือคำถามที่เมื่อฟังแถลงการณ์ของนายกฯ ท่านก็ไม่สามารถคลี่คลายข้อพิพากษ์วิจารณ์ และข้อสงสัยของประชาชนได้ ผมว่าทางออกเดียวของนายกฯ คือการลาออกจากตำแหน่งเท่านั้น”

วิโรจน์ กล่าว

สำหรับกรณีที่นายกพูดถึงแม่ทัพภาคที่ 2 นั้น ชั่วดีถี่ห่าง ชอบไม่ชอบ หรือคิดต่าง แต่เราอยู่ในทีมเดียวกันแล้ว ส่วนตัวอยู่ในฐานะฝ่ายค้าน ยังไม่ติติงนายกฯ และภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเลย มีแต่ให้ข้อเสนอแนะอย่างตรงไปตรงมาบ้าง เหมือนชี้ช่องให้ ขนาดมีประชาชนไม่เห็นด้วยกับกรณีที่ส่ง ประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ไปเป็นผู้นำทีมเจรจา ยังพูดเลยว่า ถ้าไม่ใช่ทูตประศาสน์ แล้วจะเป็นใคร ที่มีความรู้การเมืองในกัมพูชา ไม่มีอีกแล้ว แม้ว่าจะมีข้อติติงประการใด แต่หาท่านที่เหมาะสมกว่าทูตประศาสน์ ไม่ได้ ซึ่งก็ได้ให้กำลังใจไปด้วยว่า ในขณะที่กัมพูชาโห่ร้องให้กำลังใจตัวแทนเขา พวกเราจึงไม่สมควรที่จะดิสเครดิต บั่นทอนกำลังใจหัวหน้าทีมของเราอย่างท่านทูตประศาสน์

“ณ วันนี้ ผมได้วางการเมืองลงแล้ว และเชื่อว่าการเจรจาบนโต๊ะอย่างเป็นทางการ จะคลี่คลายได้ โดยเฉพาะมาตรการพุ่งเป้าไปที่กระเป๋าเงินฮุน มาเนต แต่นายกฯ ไม่เชื่อ และกลับทำในเรื่องที่ไม่สมควร การดิสเครดิต การพูดลับหลังในทางไม่ดี กับทีมงานคนสำคัญ ไม่ใช่ว่า ตำหนิทหารไม่ได้ แต่ตำหนิในวงของเราสิครับ ไม่ได้บอกว่า ตำหนิแม่ทัพภาคที่สองไม่ได้ หรือต้องเห็นด้วยทุกเรื่อง ไม่จำเป็น แต่เราควรมาคุยในวงประชุมของเรา”

วิโรจน์ กล่าว

วิโรจน์ ยกตัวอย่างอีกว่า เอาแค่บริหารบริษัทบริษัทหนึ่ง หากผู้จัดการไม่พอใจ ผู้ใต้บังคับบัญชา หรือลูกน้องตัวเอง ท่านควรเอาลูกน้องตัวเอง ไปให้ด่าให้กับลูกค้าฟังหรือไม่ ก็ไม่ควร ขนาดเป็นการจัดการบริษัท เขายังไม่ทำกันเลย จึงบอกที่ว่า สิ่งที่นายกฯ ทำตอนนี้ คือ ยากเกินที่จะอธิบาย และเกินที่คนไทยจะยอมรับ และไว้เนื้อเชื่อใจได้แล้ว เห็นต่างกันได้ แต่ต้องคุยกันภายใน มันไม่เหมาะสมจริงๆ

ส่วนมองว่าเป็นการปลุกปั่นของฝ่ายกัมพูชา ให้คนไทยแตกกันเองหรือไม่ วิโรจน์ ระบุว่า แน่นอน คลิปนี้ ยืนยันได้ว่า คนปล่อยไม่ใช่ฝั่งไทยแน่ๆ และมีความเป็นได้สูงว่า จะปล่อยมาจากสมเด็จฮุนเซน หรือฮุนมาเนต ก็เป็นไปได้อย่างมาก แต่คำถามคือ ถ้าเราเลือกวิธีทางที่ถูกต้อง จะมีคลิปแบบนี้เกิดขึ้นหรือไม่ ก็ไม่มี ดังนั้น คิดว่า การปล่อยคลิปต่างๆ อาจจะมาจากทางฝั่งกัมพูชา แต่หากฝั่งเรายึดมั่นในการเจรจาทางการเป็นหลัก ทำงานในฐานะทีมที่เป็นเอกภาพ ก็จะไม่มีเรื่องอะไรแบบนี้ “นายกรัฐมนตรีไปถูกเขาล่อซื้อแบบนี้ ได้หรือครับ”

ดังนั้น คิดว่า อาจจะเป็นแผนการที่ฝ่ายตรงข้ามจงใจทำลายภาพลักษณ์ของนายกฯ แต่เป็นนายกฯ เองใช่หรือไม่ ที่เดินไปในหลุมพลางเขา และไม่เคยเชื่อกลไกอย่างเป็นทางการ ไม่ต้องเชื่อฝ่ายค้านก็ได้ เพราะหลายภาคส่วนก็แนะนำ แต่ไม่ใช่การดีล หรือการประชุมลับ

“นี่ประเทศไทยนะครับ ไม่ใช่ธุรกิจของท่าน ไม่ใช่ทรัพย์สินภายในตระกูลท่าน ที่จะใช้ตั๋ว P/N แลกไปแลกมา ผมยืนยัน นายกรัฐมนตรีหมดความชอบธรรมแล้ว”

วิโรจน์ ย้ำ

เมื่อถามว่า ควรต้องมีการคุยกับบิดาของนายกรัฐมนตรี หรือ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหรือไม่ วิโรจน์ ย้ำว่า พ่อนายกฯ ไม่ต้องมีบทบาท ขออนุญาตไม่พูดถึงชื่อบิดานายกฯ เพราะไม่สมควรอย่างมาก ตั้งแต่เรื่องเตะตะกร้อ วันนั้น ยังให้เหตุผลว่า การที่ท่านหายไปในกลีบเมฆเป็นเรื่องดี เพราะความคิดท่านไม่ได้เป็นคุณต่อการเจรจา

ส่วนการที่บอกว่าเอาพื้นที่นี้มาเตะตะกร้อดีกว่านั้น ก็ต้องเข้าใจการตัดสินใจของกัมพูชาด้วย หากเขาโอนอ่อนผ่อนตาม เขาก็มีศักดิ์ศรีของเขา เพราะเรากำลังหยิบยื่นข้อเสนอ ที่เขายากจะรับได้ และไม่เป็นผลดี อีกอย่างคือ บิดานายกฯ มีอำนาจอะไร ณ วินาทีนี้ ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดที่นายกฯ สามารถทำให้กับประเทศนี้ได้คือ “การลาออก”

เมื่อถามว่า เรื่องนี้จะทำให้ถึงขั้นเกิดการรัฐประหารหรือไม่ วิโรจน์ มองว่า รัฐประหารไม่มีอยู่แล้วยังยืนยันว่า ถ้าทำรัฐประหาร ก็ยิ่งเข้าทางสมเด็จฮุนเซน และฮุน มาเนต ในการที่จะทำลายความชอบธรรมของไทย เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในเวทีนานาชาติ ยิ่งหากมีการรัฐประหารในช่วงนี้ ไม่ต้องเจรจา แค่เดินสายอธิบายกับนานาอารยประเทศถึงการดำรงอยู่ของรัฐบาลที่ทำรัฐประหาร รัฐบาลก็อยู่ยากมากๆ แล้ว ในเวทีโลก ไม่ต้องไปเจรจา ถือว่าเราทำลายระบบการปกครองของเราเอง 

ส่วนการลงถนนของประชาชน วิโรจน์ กล่าวว่า เป็นสิ่งที่กังวล อยากจะบอกนายกรัฐมนตรีจริงๆ ลองคิดดีๆ ไตร่ตรอง นั่งคิดเงียบๆ ว่า ลองเป็นประชาชนคนหนึ่ง ไม่ต้องคิดถึงใคร เมื่อครั้งที่เป็นประชาชน ไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายกฯ แล้ว เจอนายกฯ ที่ทำแบบนี้ จะยังไว้วางใจคนแบบนี้ ไปเจรจา เพื่อคลี่คลายข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาได้หรือ จะไว้วางใจได้อย่างไรว่า คนๆ นี้ จะเจรจาเพื่อผลประโยชน์สูงสุด และผลประโยชน์อันชอบธรรม ของประเทศและประชาชนของเรา สิ่งที่สำคัญที่สุด นายกรัฐมนตรีลองไตร่ตรองดูว่า การลาออกจะเป็นการแสดงความรับผิดชอบ ที่ประชาชนให้อภัย และประเทศชาติเดินหน้าต่อได้ น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้

“คลิปเสียงที่เกิดขึ้นซึ่งถูกปล่อยออกมา ลองมองลึกๆ ไกลๆ ว่าเขาต้องการอะไร เขาต้องการบ่อนทำลายเอกภาพของประเทศหรือไม่ เจ็บใจ เจ็บปวด พอใจ ไม่พอใจ ณ วันนี้ ต้องนับหนึ่งถึงล้าน เอาหน้าที่เป็นหลัก สิ่งที่เขาต้องการคือบ่อนทำลาย ยุยงให้เกิดการทำรัฐประหาร ดังนั้น เราต้องไม่ให้สิ่งนั้นต่อสมเด็จฮุนเซน และฮุนมาเนต เราให้ในสิ่งที่เขาต้องการไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ถึงเวลาที่ต่างคนต้องต่างทำหน้าที่ น้ำขุ่นอยู่ใน น้ำใสอยู่นอก กองทัพอย่าทำลายความชอบธรรมของประเทศ ผมเข้าใจความเจ็บปวด ความไม่พอใจ แต่เราให้ในสิ่งที่เขาต้องการไม่ได้จริงๆ”

วิโรจน์ กล่าว

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์