ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ซึ่งมี จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะรองประธาน กมธ.งบประมาณฯ คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม มีการเชิญหน่วยงานและสถาบันการเงิน 4 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงการคลัง, สภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ, ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงบประมาณ เข้าชี้แจงภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศ ภายใต้คำถามจากคณะกรรมาธิการฯ หลายข้อ
โดยทาง วีระ ธีรภัทร หนึ่งในคณะกรรมาธิการฯ ได้ตั้งคำถามว่า “เท่าที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประเมินภายในถึงผลสุทธิต่อการเจรจากับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา กระทรวงพาณิชย์ และผู้แทนการค้า อัตราภาษีนำเข้าที่คิดว่าจะเป็น ซึ่งจะถูกใช้เป็นสมมุติฐานในการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ จะอยู่ที่เท่าไหร่ และสำหรับตัวเลขที่ทำการประมาณในปี 68 ได้เปลี่ยนจากสมมติฐานเดิมในการทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเป็นโครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ มีส่วนเพิ่มหรือส่วนต่างอย่างไร”
วีระ ยังได้ถาม ธปท. ว่า “ในส่วนหนี้ต่างประเทศสุทธิของประเทศไทย ทั้งภาครัฐและเอกชน ประมาณ 1.9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น หากเทียบกับทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศที่มีอยู่ขณะนี้ เป็นเรื่องที่น่ากังวลหรือไม่”
อีกทั้งยังสอบถามกระทรวงการคลัง ว่า “ในปี 68 จะให้ความมั่นใจได้หรือไม่ว่า จะไม่มีการขาดแคลนรายได้จากที่ทำการประมาณการรายได้ ส่วนในปี 69 ดูแล้วยังไงก็จะต้องมีการขาดแคลนรายได้ จึงอยากถามถึงตัวเลขประมาณการในใจว่า การคาดว่าตัวเลขที่จะไม่เป็นไปตามการประมาณการรายได้นั้น จะขาดไปเท่าไหร่ รวมถึงกรณีที่ รมว.คลังจะเป็นผู้นำหลักในการเข้าไปเจรจากับโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา หวังว่าสุทธิของอัตราภาษีนำเข้าของไทย จะอยู่ที่เท่าไหร่”
นอกจากนี้ วีระ ยังได้ถามสำนักงบประมาณอีกว่า “เรื่องการใช้เงินคืน ในส่วนที่หน่วยงานรัฐออกไปให้ก่อน ตามมาตรา 28 อยู่ที่วงเงินเท่าไหร่”
‘ปชน.’ หวั่น ‘หนี้สาธารณะ’ อ่วม! เสี่ยงเบียดบังเงินคงคลัง
ขณะที่ ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะคณะกรรมาธิการฯ สอบถามถึงปัญหาภาพรวมเศรษฐกิจว่า “ดิฉันพูดถึงเรื่องนี้ทุกปีจนเหมือนคนที่มีอาการวิตกจริต แต่คิดว่าปีนี้มีความเหมาะสมที่จะพูดเรื่องนี้มากที่สุด ซึ่งไม่ใช่การตามจับผิด แต่เข้าใจได้ว่าเกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้า จึงต้องการฟังยุทธศาสตร์ในการเตรียมตัวรับมือกับเรื่องนี้”
ศิริกัญญา กล่าวว่า “GDP ที่เป็นตัวเงิน หรือ Nominal GDP ลดลง จึงคาดว่าน่าจะกระทบกับประมาณการรายได้ประมาณ 0.85 เปอร์เซ็นต์ และยังมีตัวแปรอื่นๆ อีก เช่น ราคาน้ำมันดิบโลกที่ลดลง 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล รวมแล้วจะทราบผลกระทบต่อประมาณการรายได้ราว 2 เปอร์เซ็นต์ จึงน่าจะจัดเก็บรายได้ตกเป้าไปแล้วประมาณ 6.3 หมื่นล้านบาท”
เรื่องนี้ไม่ได้โทษใคร เพราะเราไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าสงครามการค้าจะหนักขนาดนี้ แต่แนวทางในการรับมือดังกล่าวควรจะเป็นอย่างไร
— ศิริกัญญา ตันสกุล
พร้อมกล่าวต่อไปว่า “จากรายงานของงบประมาณปี 2567 พบว่ารายได้การจัดเก็บภาษีตกเป้าไปเกือบ 8 หมื่นล้านบาท กระทรวงการคลังพยายามทำให้ปิดหีบได้ ด้วยเงินปันผล ปตท. ก่อนหมดปีงบประมาณ รวมถึงกองทุนวายุภักดิ์ และกองสลาก ต่อมาในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 เหตุการณ์เหมือนกลับมาซ้ำเดิม ทำให้การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตตกเป้าแล้ว 3.3 หมื่นล้านบาท ทำให้รัฐวิสาหกิจต้องมาแบกรับภาระ รายได้นำส่งคลังจึงเพิ่มขึ้นกว่าประมาณการถึง 26.5 เปอร์เซ็นต์ จึงอยากให้กระทรวงการคลังชี้แจงด้วยว่า รัฐวิสาหกิจใดรับภาระอยู่ตอนนี้”
“สำหรับปีงบประมาณ 2569 ได้มีความพยายามปรับเป้าของการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตลงมา 3.1 หมื่นล้านบาทจากปีก่อนหน้า ถือว่าเป็นแนวโน้มที่ดี จึงอยากสอบถามว่าปัญหาเดิมๆ ที่เคยทำให้เราจัดเก็บภาษีสรรพสามิตได้ไม่ตรงเป้าสามารถจัดการได้หรือไม่อย่างไร ทั้งนี้ การจัดเก็บภาษีรถยนต์มีอุปสรรคจากปริมาณรถยนต์ที่ขายได้น้อยลง ประเภทรถยนต์ที่เปลี่ยนไปใช้รถ EV”
“ขณะที่ภาษีบุหรี่จัดเก็บได้น้อยลง เนื่องจากผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมไปสูบบุหรี่ไฟฟ้าและบุหรี่เถื่อนมากขึ้น ทำให้แนวโน้มของภาษียาสูบลดลงจากปี 2560 เกือบ 2 หมื่นล้านบาท จึงอยากทราบเหตุผลที่ปรับเป้าการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตลงมาว่าได้แก้ไขปัญหาเดิมแล้วหรือไม่”
“สำหรับคาดการณ์รายจ่ายที่ 3.78 ล้านล้านบาท อาจมีบางส่วนที่ไม่พอและจำเป็นต้องเบียดบังงบกลางเงินสำรองฉุกเฉิน หรือไปจนถึงเงินคงคลัง อย่างงบฯ ตาม พ.ร.บ. ที่ต่ำกว่าเบิกจ่าย ทั้งในส่วนของเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ และค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ เหตุใดสำนักงบประมาณกับกรมบัญชีกลาง จึงไม่สามารถตกลงกันได้ว่าจะมีข้าราชการเกษียณหรือเสียชีวิตกี่คน”
ศิริกัญญา กล่าวด้วยว่า “ส่วนงบชำระดอกเบี้ยก็มีการตั้งงบประมาณไว้ต่ำกว่าแผนการคลังระยะปานกลาง ซึ่งในปี 2568 ต้องชำระดอกเบี้ยสูงถึง 11.3 เปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อชำระจริงผ่านการตั้งงบประมาณในปี 2567 กลับอยู่ที่เพียง 8 เปอร์เซ็นต์กว่าๆ ซึ่งท้ายที่สุดในปี 2567 ก็ต้องไปใช้เงินคงคลังนำมาจ่ายดอกเบี้ย และในปี 2569 ก็จะเกิดเหตุการณ์แบบเดิมอีก เมื่อต้องใช้ชำระดอกเบี้ยสูงถึง 11.5 เปอร์เซ็นต์ แต่ร่างงบประมาณปี 2569 กลับตั้งงบประมาณไว้เพียง 9.20 เปอร์เซ็นต์”
ดิฉันไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ถ้าไม่ทำไปตามที่วางแผนไว้ตามแผนการคลังระยะปานกลางเลย เพราะนอกจากกรอบวงเงินแล้ว ส่วนข้างในที่เหลือแทบจะไม่ปฏิบัติตาม แล้วเราจะยังมีแผนการคลังระยะปานกลางเอาไว้ทำไม
— ศิริกัญญา ตันสกุล
ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า “ขณะที่งบประมาณในการกู้นั้น ตั้งแต่ปี 2568 ยอดหนี้สาธารณะใกล้จะชนเพดาน จนมาในปี 2569 ที่มีการกู้ 13.5 ล้านล้านบาท ทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ที่ 69 เปอร์เซ็นต์ เหลือพื้นที่ให้กู้เพิ่มได้เพียง 2.1 แสนล้านบาทเท่านั้น ซึ่งไม่ช้าก็เร็วคงจะต้องขยายเพดานหนี้สาธารณะ จึงขอถามความเห็นจากกระทรวงการคลังว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ และขอสอบถามไปยัง ธปท. ในเรื่องของภาวะเงินฝืด เพราะมีนักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่าประเทศไทยกำลังเข้าสู่ภาวะเงินฝืด กำลังซื้อเราอ่อนแอลงจริงหรือไม่”
‘ชาดา’ ไล่บี้ ‘ธปท.’ ใครเป็นคนคุม ‘แบงก์’ ปล่อยค่าธรรมเนียม-ดอกเบี้ยโหด
ทางด้าน ชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นคณะกรรมาธิการฯ เช่นกัน ได้ตั้งคำถามไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย ว่า “การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ผมคิดแบบบ้านๆ แบบคนเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ตอนนี้เงินไม่ไปสู่รากหญ้า ราคาพืชผลเกษตรกรก็ถูก ปัญหาคือธนาคารก็จะถ่างออกไป มีค่าธรรมเนียมต่างหาก ผมถามว่าวันนี้ใครควบคุม แล้วท่านปล่อยให้เงินเข้าสู่ระบบการก่อสร้างอย่างเดียว ทำไมไม่เรียกมาอบรม พัฒนาฝีมือแรงงาน”
ผมก็ความรู้น้อย แต่อย่างอินโดนีเซียที่เขาแจกเงินเดือนแล้วให้ไปทำวิจัย ซึ่งผมเห็นด้วย เอาเงินหมื่นมาปรับ แล้วเอามาให้คนที่เป็นนักศึกษา คนชั้นกลาง วันนี้โลกมีโซเชียลมีเดียแล้ว ไม่เช่นนั้นกลุ่มทุนอาจจะถูกคนชั้นล่างรุมทึ้งไปแล้ว ตอนนี้มีโซเชียล เด็กรุ่นใหม่ไปขายอะไรต่ออะไรได้ ขายตรงได้ แต่แบงก์ชาติไม่เคยดู ประเทศไทยใช้ตัวหลักทรัพย์อย่างเดียว ไม่ได้วิเคราะห์โครงการ ลูกหลานคนจนทำงานเก่งแค่ไหน ก็ไม่มีโอกาสโงหัวทางสังคม ผมถาม แล้ววันนี้ใครรับผิดชอบแบงก์ชาติ ผมสงสัยอย่างเดียว ผมได้ยินชื่อธนาคารแห่งประเทศไทยมานานแล้ว ผมก็ว่าเขาต้องเป็นคนควบคุมแบงก์ต่างๆ แต่เขาปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้จนกลุ่มทุนนั้นมันเกิดช่องว่าง
— ชาดา ไทยเศรษฐ์
ชาดา กล่าวว่า “ปัญหาจะเยอะขึ้นในภายภาคหน้า ถ้าท่านไม่ดูเรื่องนี้ แล้วการหดตัวทางเศรษฐกิจ รับเหมาก่อสร้างมันเป็นแค่ระบบหนึ่ง แต่วันนี้ต้องพัฒนาคุณภาพคน ผมสงสัยว่าเงินแสนกว่าล้านในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ได้เป็นรายได้เพิ่มขึ้น ก็สมควรนำมาใช้จ่าย ผมเห็นว่าพรรคเพื่อไทยหาเสียงเรื่องเงินดิจิทัล แต่พอเลือกตั้งมาเป็นรัฐบาลแล้ว จะแจกเงินก็ถูกบล็อก”
ผมมองว่าพรรคการเมืองเขาเป็นคนวางนโยบายเข้ามา เขาต้องมีสิทธิ์ทำในระดับหนึ่ง แต่เวลาจะทำเพื่อคนจนจริงๆ คนชั้นล่างจริงๆ ท่านไม่ให้ทำ แล้วก็บอกว่าระบบเศรษฐกิจจะเสียหายเช่นนั้นเช่นนี้ ผมก็บอกว่าถ้าผมเป็นพรรคเพื่อไทย ผมไม่ยอม อย่างไรผมก็ไม่ยอม ขอให้เอามาปรับสิ วันนี้มีช่องทางเดียว เงินตรงนี้แหละเท่านั้นที่จะถึงประชาชนจริงๆ และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจจริงๆ ไม่ใช่กระตุ้นด้วยโครงการรับเหมาก่อสร้างอย่างเดียว นั่นมันโบราณมาก
— ชาดา ไทยเศรษฐ์
ชาดา กล่าวอีกว่า “ผมเป็น กมธ.งบฯ มา 8 ปี แต่เห็นตัวเลขต่างๆ แล้วจำไว้ในบล็อกสมองเลยว่าตัวเลขพวกนี้เป็นตัวเลขแบบเดิม เป็นแบบนี้มาตลอด เวลาจะทำอะไรก็ทำไม่ได้ ฉะนั้น จึงขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยช่วยตอบด้วยว่า ใครเป็นคนรับผิดชอบธนาคาร ท่านควบคุมธนาคารหรือไม่ ธนาคารจะเป็นผู้ค้าที่ไม่มีการควบคุมหรือไม่”
อยากให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตอบตรงนี้ สมองของผมจะได้หายโง่ว่าใครดูแลธนาคาร ใครมีอำนาจในการตั้งค่าธรรมเนียม เพราะแม้กระทั่งเงินของภาครัฐก็ต้องเสียดอกเบี้ย ทุกวันนี้ที่อยู่กันได้ เพราะเป็นการกู้ภายในประเทศ ถ้ากู้นอกประเทศ เจ๊งกันไปแล้ว เงินที่ได้มาลงทุนก็เสียดอก แล้วมาอยู่ในระบบก็เสียดอกอีก กลายเป็นกลุ่มทุนเอาไปหมด ฉะนั้น จึงขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตอบผมให้กระจ่างด้วย
— ชาดา ไทยเศรษฐ์