แม้หลายๆ ประเทศจะมักบอกว่า “ต้องการให้โลกอยู่อย่างสันติภาพ” “ไม่อยากเห็นสงคราม” แต่มหาอำนาจของโลกอย่างสหรัฐฯ จีน และรัสเซีย ก็ยังแข่งกันสะสมอาวุธนิวเคลียร์อยู่ดี โดยเฉพาะสหรัฐฯ กับรัสเซียที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์มากถึงประมาณ 87% ของจำนวนทั้งหมดในโลก และ 83% ของอาวุธที่พร้อมใช้งาน
รายงานสถานะกำลังนิวเคลียร์โลกปี 2025 ของสมาคมนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ (Federation of Atomic Scientists) ระบุว่า มีหัวรบนิวเคลียร์ในโลกนี้รวมกันประมาณ 12,331 หัวรบ ในจำนวนนี้มีมากกว่า 9,600 หัวรบที่อยู่ในคลังแสงของกองทัพ และพร้อมใช้งานจริง แม้ว่าจำนวนนี้จะลดลงอย่างมากจากประมาณ 70,000 หัวรบในช่วงสงครามเย็น แต่คาดว่าในทศวรรษข้างหน้าจะมีการเพิ่มจำนวนอาวุธนิวเคลียร์อีก และพบว่าจำนวนอาวุธที่อยู่ในคลังทหารที่พร้อมใช้งานกลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
SPACEBAR พาไปสำรวจว่ามีประเทศไหนบ้างที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์...
1.รัสเซีย / 4,309 หัวรบนิวเคลียร์
โครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของโซเวียตเริ่มขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยอาวุธนิวเคลียร์ลูกแรกชื่อว่า ‘RDS-1’ ถูกทดสอบเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 1949 ที่สนามทดสอบเซมิปาลาตินสค์ในคาซัคสถาน ซึ่งถือเป็นการเข้าสู่ยุคอะตอมของโซเวียตและเปลี่ยนสมดุลอำนาจโลกอย่างถาวร
หลังจากนั้น โซเวียตก็ทดสอบระเบิดไฮโดรเจนลูกแรกชื่อ ‘RDS-37’ ในปี 1955 และในปี 1961 ได้ทดสอบระเบิดที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ที่เรียกว่า ‘ซาร์โบมบา’ (Tsar Bomba) ซึ่งมีพลังทำลายสูงถึง 50 เมกะตัน
ในช่วงสูงสุดของคลังอาวุธนิวเคลียร์ในปี 1986 โซเวียตมีหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 45,000 หัวรบ มากกว่าประเทศใดในประวัติศาสตร์ และตั้งแต่ปี 1949 จนถึงการล่มสลายในปี 1991 โซเวียตได้ผลิตหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 55,000 หัวรบ
จากข้อมูลในปัจจุบันเมื่อช่วงต้นปี 2025 ระบุว่ารัสเซียมีหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 4,309 หัวรบ ซึ่งลดลงเล็กน้อยจากประมาณ 4,380 หัวรบในปีก่อนหน้า
2.สหรัฐฯ / 3,700 หัวรบนิวเคลียร์
สหรัฐฯ เป็นประเทศแรกที่พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ร่วมมือกับสหราชอาณาจักรและแคนาดาในโครงการแมนฮัตตัน (Manhattan Project) ซึ่งเริ่มขึ้นในปี 1939 ด้วยความกังวลว่าเยอรมนีในยุคนาซีอาจพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ได้ก่อน
การทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ลูกแรกชื่อ ‘Trinity’ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 1945 ที่รัฐนิวเม็กซิโก โดยเป็นอาวุธแบบปลดปล่อยพลังงานจากปฏิกิริยาฟิชชันของพลูโตเนียม มีพลังทำลายประมาณ 20 กิโลตัน หลังจากนั้นในเดือนสิงหาคม 1945 สหรัฐฯ ก็ใช้อาวุธนิวเคลียร์โจมตีเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งกลายเป็นประเทศเดียวที่เคยใช้ระเบิดนิวเคลียร์ในสงคราม
ในช่วงสงครามเย็น สหรัฐฯ ขยายคลังอาวุธนิวเคลียร์อย่างต่อเนื่องจนมีจำนวนหัวรบนิวเคลียร์สูงสุดถึงประมาณ 31,175 หัวรบในปี 1966
ปัจจุบัน สหรัฐฯ ยังคงพัฒนาและปรับปรุงคลังอาวุธนิวเคลียร์อย่างต่อเนื่อง โดยมีการพัฒนาอาวุธ เช่น เครื่องบิน ขีปนาวุธ เรือดำน้ำ และโรงงานผลิตอาวุธนิวเคลียร์ให้ทันสมัยมากขึ้น ในปี 2024 พบว่าคลังหัวรบนิวเคลียร์ที่พร้อมใช้งานของสหรัฐฯ มีประมาณ 3,700 หัวรบ ซึ่งเป็นจำนวนคงที่จากปีก่อนหน้า
3.จีน / 600 หัวรบนิวเคลียร์
จีนทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ลูกแรกที่ชื่อ ‘596’ เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 1964 ที่สนามทดสอบโลป นูร์ (Lop Nur) ซึ่งเป็นระเบิดฟิชชันแบบอิมพลอชันที่ใช้ยูเรเนียม-235 เป็นเชื้อเพลิง มีพลังทำลายประมาณ 22-25 กิโลตัน เทียบเท่ากับระเบิดนิวเคลียร์ของสหภาพโซเวียตและสหรัฐฯ ในยุคแรก กลายเป็นประเทศที่ 5 ที่มีอาวุธนิวเคลียร์ในโลก
หลังจากนั้นเพียง 32 เดือน จีนทดสอบระเบิดไฮโดรเจนลูกแรก ‘Test No. 6’ ในปี 1967 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่สั้นที่สุดในการพัฒนาจากระเบิดฟิชชันสู่ฟิวชันในประวัติศาสตร์โลก
อย่างไรก็ดี จีนเป็นเพียงประเทศเดียวในกลุ่มสมาชิกสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT) ที่ประกาศนโยบาย ‘ไม่ใช้ก่อน’ (no first use) อย่างไม่มีเงื่อนไข และเข้าร่วม NPT อย่างเป็นทางการในปี 1992
ในปี 2023 คลังหัวรบนิวเคลียร์ของจีนเพิ่มขึ้นประมาณ 90 ลูก ทำให้มีหัวรบนิวเคลียร์รวมประมาณ 500 ลูก ต่อมาในปี 2024 ตามการประเมินของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ณ ธันวาคมพบว่า จีนมีหัวรบนิวเคลียร์ที่พร้อมใช้งานมากกว่า 600 ลูก และคาดว่าจะมีจำนวนถึง 1,000 ลูกภายในปี 2030
4.ฝรั่งเศส / 290 หัวรบนิวเคลียร์
ฝรั่งเศสทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ลูกแรกชื่อ ‘Gerboise Bleue’ เมื่อปี 1960 ซึ่งพัฒนาขึ้นจากงานวิจัยของตัวเองเป็นหลัก โดยได้รับแรงจูงใจจากความตึงเครียดทางการทูตในวิกฤตการณ์สุเอซ และเพื่อรักษาสถานะมหาอำนาจร่วมกับสหราชอาณาจักรในช่วงสงครามเย็นหลังยุคอาณานิคม
ฝรั่งเศสทดสอบระเบิดไฮโดรเจนลูกแรก ‘Opération Canopus’ ในปี 1968 พอหลังจากสงครามเย็น จึงได้ลดจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ลงประมาณ 175 ลูก พร้อมทั้งปรับปรุงคลังอาวุธให้ทันสมัยขึ้น โดยปัจจุบันระบบนิวเคลียร์ของฝรั่งเศสเป็นระบบคู่ผสมระหว่างขีปนาวุธที่ปล่อยจากเรือดำน้ำ (SLBMs) และขีปนาวุธอากาศสู่ผิวพื้นพิสัยกลางที่ติดตั้งบนเครื่องบินรบราฟาล
ตามข้อมูลในปี 2025 ระบุว่า ฝรั่งเศสมีคลังหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 290 หัวรบ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาระบบเรือดำน้ำและขีปนาวุธครูสรุ่นใหม่ พร้อมกับการปรับปรุงระบบนิวเคลียร์เดิมให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
5.สหราชอาณาจักร / 225 หัวรบนิวเคลียร์
สหราชอาณาจักรทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ลูกแรกชื่อ ‘Hurricane’ เมื่อปี 1952 ต่อมาในปี 1957 ทดสอบระเบิดไฮโดรเจนลูกแรกในปฏิบัติการ ‘Operation Grapple’ กลายเป็นประเทศที่ 3 ของโลกที่พัฒนาและทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ต่อจากสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียต โดยมีเป้าหมายเพื่อยับยั้งภัยคุกคามจากสหภาพโซเวียตและรักษาสถานะมหาอำนาจ
ข้อมูลล่าสุดเมื่อช่วงต้นปี 2025 ระบุว่า สหราชอาณาจักรมีคลังหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 225 หัวรบ ซึ่งเป็นจำนวนคงที่และนับเป็นจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ที่น้อยที่สุดตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1960 แม้ในปี 2023 รัฐบาลจะออกมายืนยันว่าจะเพิ่มขีดจำกัดสูงสุดของคลังอาวุธนิวเคลียร์จาก 225 หัวรบเป็น 260 หัวรบในอนาคตอันใกล้ก็ตาม
6.อินเดีย / 180 หัวรบนิวเคลียร์
อินเดียทดสอบระเบิดนิวเคลียร์เพื่อสันติภาพ ‘Smiling Buddha’ ครั้งแรกในปี 1974 หลังเข้าร่วมกลุ่มสมาชิกสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT) และยืนยันว่าการทดสอบนั้นเป็นไปเพื่อสันติภาพเป็นหลัก แต่ระหว่างปี 1988-1990 อินเดียกลับพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ประมาณ 24 ลูกสำหรับติดตั้งบนเครื่องบินด้วย
ในปี 1998 อินเดียทดสอบหัวรบนิวเคลียร์ที่พร้อมใช้งานจริงในปฏิบัติการ ‘Operation Shakti’ รวมถึงระเบิดไฮโดรเจน ทั้งยังประกาศตัวเป็นประเทศนิวเคลียร์อย่างเป็นทางการ และดำเนินการนโยบาย ‘ไม่ใช้ก่อน’ (no first use) ในปีเดียวกัน
สำหรับขอมูลในปี 2025 ระบุว่า อินเดียมีคลังหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 180 หัวรบ เพิ่มขึ้นจาก 172 หัวรบในปี 2024 กระจายอยู่ในระบบนิวเคลียร์ไตรภาค (nuclear triad) ที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วยเครื่องบินรบ ขีปนาวุธบนพื้นดิน และเรือดำน้ำขีปนาวุธ (SSBN)
7.ปากีสถาน / 170 หัวรบนิวเคลียร์
ปากีสถานเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT) และพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อย่างลับๆ มาตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1970 หลังจากก่อตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งแรกใกล้กรุงการาจี โดยได้รับอุปกรณ์ส่วนใหญ่จากประเทศตะวันตก
“หากอินเดียสามารถสร้างอาวุธนิวเคลียร์ได้ ปากีสถานก็จะทำได้เช่นกัน...เราจะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ แม้ต้องกินหญ้าก็ตาม”
— นายกฯ ซุลฟิการ์ อาลี บุตโต ประกาศในปี 1971
มีรายงานระบุว่า ปากีสถานมีอาวุธนิวเคลียร์ตั้งแต่กลางทศวรรษ 1980 แต่สหรัฐฯ ยังคงรับรองว่าปากีสถานไม่มีอาวุธนิวเคลียร์จนถึงปี 1990 หลังมีการคว่ำบาตรภายใต้กฎหมายเพรสเลอร์ (Pressler Amendment) ที่ตัดความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและทหารจากสหรัฐฯ
ต่อมาในปี 1998 ปากีสถานได้ทำการทดสอบนิวเคลียร์ครั้งแรกที่เทือกเขาราส โคห์ (Ras Koh Hills) จำนวน 6 ลูก เพื่อตอบโต้การทดสอบนิวเคลียร์ 5 ลูกของอินเดียเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านั้น
ตามการประเมินของสถาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศสตอกโฮล์ม (SIPRI) ในปี 2024 ระบุว่า ปากีสถานมีคลังหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 170 หัวรบ เพิ่มขึ้นจากประมาณ 140 หัวรบในปี 2013
8.อิสราเอล / 90 หัวรบนิวเคลียร์
อิสราเอลถือเป็นประเทศที่ 6 ของโลกที่พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ แม้จะไม่ได้ยอมรับอย่างเป็นทางการ แต่มีรายงานระบุว่าอิสราเอลมีอาวุธนิวเคลียร์ที่พร้อมใช้งานตั้งแต่ปี 1966-1967 ซึ่งถือเป็นยุคเริ่มต้นของคลังอาวุธนิวเคลียร์ของประเทศ
นอกจากนี้ อิสราเอลยังไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มสมาชิกสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT) และเริ่มโครงการนิวเคลียร์ในช่วงปลายทศวรรษ 1950 โดยได้รับความช่วยเหลือจากฝรั่งเศสในการสร้างโรงงานนิวเคลียร์ที่เมืองดิโมนา ซึ่งมีทั้งเครื่องปฏิกรณ์และโรงงานแยกแร่พลูโตเนียมเพื่อผลิตอาวุธ
ในปัจจุบัน อิสราเอลยังคงดำเนินยุทธศาสตร์ ‘nuclear opacity’ ซึ่งไม่ต้องการระบุ, ยืนยัน หรือ ปฏิเสธการมีอาวุธนิวเคลียร์ เพื่อรักษาประโยชน์จากการยับยั้งภัยคุกคามโดยไม่ต้องแบกรับต้นทุนทางการเมืองสูง แต่สถาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศสตอกโฮล์ม (SIPRI) ประเมินว่า อิสราเอลน่าจะมีหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 90 ลูก
9.เกาหลีเหนือ / 50 หัวรบนิวเคลียร์
เกาหลีเหนือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่เปิดเผยให้โลกเห็นอย่างชัดเจนว่ากำลังพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ และกองทัพมาโดยตลอด ประเทศนี้เคยเข้าร่วมกลุ่มสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT) แต่ถอนตัวไปเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2003 หลังสหรัฐฯ กล่าวหาว่ามีโครงการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมอย่างลับๆ และตัดความช่วยเหลือด้านพลังงานภายใต้ข้อตกลงปี 1994
ในปี 2005 เกาหลีเหนืออ้างว่ามีอาวุธนิวเคลียร์ที่ใช้งานได้จริง แม้ยังไม่มีการทดสอบอย่างเป็นทางการในเวลานั้น ต่อมาในเดือนตุลาคม 2006 เกาหลีเหนือประกาศว่าจะทดสอบนิวเคลียร์เพื่อตอบโต้การคุกคามจากสหรัฐฯ และรายงานว่าทดสอบสำเร็จเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2006 แม้ว่าผลการทดสอบจะมีพลังทำลายล้างต่ำกว่า 1 กิโลตันก็ตาม
ปี 2009 มีการทดสอบนิวเคลียร์ครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 ในปี 2013 ซึ่งพบว่ามีพลังทำลายล้างสูงขึ้น จากนั้นในปี 2016 เกาหลีเหนือก็อ้างว่ามีการทดสอบระเบิดไฮโดรเจน แต่ข้อมูลแรงสั่นสะเทือนนนั้นไม่สอดคล้องกับระเบิดไฮโดรเจนจริง ขณะที่เดือนกันยายน 2017 มีการทดสอบระเบิดที่มีพลังประมาณ 250 กิโลตัน กระทั่งในปี 2018 รัฐบาลได้ประกาศหยุดทดสอบนิวเคลียร์และให้คำมั่นจะปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี
แต่ในเดือนธันวาคม 2019 คิมจองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือก็ประกาศว่า “เกาหลีเหนือจะไม่ระงับการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธระยะไกลที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้อีกต่อไป”โดยระบุว่าไม่มีเหตุผลที่จะต้องรักษาข้อตกลงดังกล่าว เนื่องจากสหรัฐฯ ยังคงดำเนินการซ้อมรบร่วมกับเกาหลีใต้และยังคงใช้มาตรการคว่ำบาตรอย่างเข้มงวดต่อเกาหลีเหนือ
ต่อมาในปี 2022 คิมจองอึน ก็ประกาศให้ “เกาหลีเหนือเป็นรัฐนิวเคลียร์” อย่างเป็นทางการ ขณะที่สถาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศสตอกโฮล์ม (SIPRI) รายงานเมื่อเดือนมกราคม 2025 ว่า เกาหลีเหนือมีหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 50 หัวรบและมีวัสดุนิวเคลียร์เพียงพอที่จะผลิตได้ถึง 90 หัวรบ โดยคาดว่าคลังอาวุธนี้จะขยายตัวในปีต่อๆ ไป

อินโฟกราฟฟิกโดย : พิชชิตา ธนภัทร์นพ
ภาพประกอบโดย : อรนรร จิรชลมารค