ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่เราในฐานะแฟนฟุตบอลชาวไทยต้องได้ยินคำว่า “ขอโทษ” “พวกเราจะทำให้ดีขึ้น” และอีกหลายๆ คำที่ยามใดก็ตามที่ฟุตบอลทีมชาติไทยพ่ายแพ้ในแมตชสำคัญที่มีเดิมพันสูง คำพูดเหล่านี้มักเกิดขึ้นทุกครั้งและกลายเป็นเรื่องชินชา สำหรับแฟนฟุตบอลหลายๆ คนไปแล้ว
โดยคำพูดเหล่านี้เกิดขึ้นจากการพ่ายแพ้นัดล่าสุดเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาต่อเติร์กเมนิสถานด้วยสกอร์ 1-3 ชนิดที่ตัวผู้เขียนเองก็นอนคิดอยู่นานว่า เมื่อไหร่กันที่เราจะได้พบกับมาตรฐานของฟุตบอลไทยที่ควรจะเป็นเสียที และเมื่อมาไล่ดูสาเหตุครั้งนี้กันแล้วกลายเป็นว่าทุกอย่างมันมีต้นสายปลายเหตุเต็มไปหมด แถมกุนซืออย่าง มาซาทาดะ อิชิอิ ก็ดูเหมือนว่า กำลังสับสนกับแนวทางที่ตัวเองกำลังจะลงมือเปลี่ยนแปลงตัวผู้เล่นทีมชาติไทยชนิดที่ความคิดเยอะและการติดอยู่ในกรอบกำลังทำร้ายทั้งตัวกุนซือรายนี้และทีมชาติไทยไปในตัว

เริ่มต้นจากการจัดตัวผู้เล่นที่เห็นได้ชัดเจนและเป็นเอกฉันท์ว่าตัวผู้เล่นที่เลือกมาหากคุณเล่นดีในเกมหนึ่งคุณอาจจะไม่ได้ลงในนัดที่ควรจะได้ลงก็เป็นได้ เพียงแค่เพราะว่าชื่อเสียงและการเล่นเข้าระบบ (ซึ่งตรงนี้ผมขอตีต่างไว้ก่อนว่า ผมยังไม่ค่อยเก็ทกับระบบแนวนี้ที่อิชิอิบอกว่ามีทรงสักเท่าไหร่ เพราะหากนับแค่นัดเจอทีมชาติเกาหลีใต้ทรงบอลที่หลายคนตามหาก็ต้องยอมรับตรงๆ เลยว่าไม่มี) ซึ่งตรงนี้มันก็สะท้อนถึงการบริหารจัดการตัวผู้เล่นขององค์รวมทั้งหมดด้วย ไล่ไปตั้งแต่ปฏิทินการแข่งขันไทยลีกที่เลื่อนจนเป็นไส้เลื่อน การรวมตัวกันเก็บตัวให้กับทีมชาติที่ทุกครั้งก็ต้องยอมรับว่า มาซาทาดะ อิชิอิ ไม่ได้ใช้ตัวที่ครบๆ เลย เดี๋ยวได้คนนั้นคนนี้เจ็บ อีกคนถอน จนต้องไปดึงผู้เล่นดาวรุ่งมาเล่นแล้วบอกว่า เป็นเวทีในการสร้างกระดูกและประสบการณ์ให้แก่เหล่าผู้เล่นหน้าใหม่ แต่คำถามคือแล้วช่วงเวลาที่ต้องคว้าชัยหรือทำแต้มให้ได้ ทำไมเรามาหาประสบการณ์อะไรกันตอนนี้ อันนี้ก็น่าแปลกเหมือนกัน

อีกเรื่องสำหรับตัวผู้เล่นก็คือการตัดสินใจตัดผู้เล่นทีมชาติเก๋าๆ หลายคนออกจากรายชื่อเพียงแค่เพราะว่า ต้องการสร้างกลุ่มผู้เล่นหน้าใหม่ให้เกิดการใช้งานได้จริงในทีมชาติ ข้อดีคือมีผู้เล่นมากมายก้าวขึ้นมาติดทีมชาติเยอะขึ้น แต่ข้อเสียคือ มาตรฐานที่เหล่าคนเก่าเคยทำไว้หลายๆ คนที่ขึ้นมาใหม่ก็ดันไปไม่ถึงฝั่งเสียอย่างนั้น จึงเป็นคำถามตัวโตๆ เลยว่าผู้เล่นเก๋าๆ อย่าง ธีราทร บุญมาทัน, สารัช อยู่เย็น หรือแม้กระทั่ง ธีรศิลป์ แดงดา ยังสำคัญต่อทีมชาติไทยอยู่หรือไม่ ในเมื่อดันผู้เล่นใหม่มาแล้วทำได้ไม่ดีอันนี้ก็น่าคิด
ระบบการเล่นที่กลายเป็นว่ากลุ่มผู้เล่นที่เคยทำได้ดีกลับไม่มีความโดดเด่นอะไรเลยในทีมชาติชุดนี้ ซึ่งต้องยอมรับกันตามตรงว่า การที่ผู้เล่นที่ไปเติบโตในนอกลีกอย่าง เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์ หรือ เอกนิษฐ์ ปัญญา การพัฒนาของพวกเขาหยุดชะงักไปอย่างน่าใจหาย แถมตัวทำเกมอย่าง เบนจามิน เดวิส ก็กลายเป็นว่าเล่นไม่เข้าระบบกับมาซาทาดะ อิชิอิ เสียอย่างนั้นทั้งๆ ที่หากดูภาพรวมของเกมจริงๆ เบนจามินน่าจะเป็นคนที่ทำเกมให้ทีมชาติไทยได้เยอะที่สุดแล้วตั้งแต่เปลี่ยนตัวลงมา

ฉะนั้นหากรื้อโครงสร้างครั้งนี้ของ มาซาทาดะ อิชิอิ กับรอบคัดเลือกศึกฟุตบอลเอเชียน คัพ ดูแล้วคงเรียกว่า หากเป็นข้อสอบก็คงเป็นแค่การสอบผ่านเสมอตัว เล่นแบบไหนมาก็ทำทีมแบบนั้นต่อไป กลายเป็นทีมที่เล่นได้น่าสนใจน้อยลงไปเรื่อยๆ จริงๆ สำหรับทีมชาติไทย อย่างไรก็ดีความดีความชอบที่เคยมีมาแน่นอนว่าแฟนฟุตบอลยังพร้อมมอบให้ผู้จัดการทีมชาติคนนี้เสมอ
เพียงแต่ว่าเวลามันไม่เคยคอยใคร และมันก็น่าเบื่อทุกครั้งที่ต้องมาเห็นเหล่าบรรดาคนที่ทำงานในทีมชาติออกมาหลั่งน้ำตาพร้อมกับบอกว่า พวกเราจะกลับมาใหม่ เราจะทำให้เต็มที่ครั้งหน้า และอีกหลายๆ คำ

ในขณะที่เพื่อนบ้านของเรา อินโดนีเซีย กำลังมีโอกาสจะคัดฟุตบอลโลกต่อไปในทวีปเอเชีย
มาเลเซียที่กำลังสร้างทีมใหม่จากเหล่าบรรดานักเตะโอนสัญชาติ
เวียดนามที่กำลังยกระดับทีมชาติขึ้นมาด้วยตัวโอนและระบบการเล่นรูปแบบใหม่ หรือแม้กระทั่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวที่กำลังสร้างแนวทางการเล่นโดยใช้ดาวรุ่งขึ้นมายกชุด
พวกเรากำลังทำอะไรกันอยู่? ถ้ามาซาทาดะ อิชิอิ ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างตั้งแต่วันนี้ไปเชื่อเถอะว่า อีกไม่นานศรัทธาแฟนฟุตบอลก็จะหายไป และคนที่ถือไอแพดเดินไปเดินมาอยู่ในเวลานี้อย่างแอนโธนี ฮัดสัน ก็คงมารอเสียบแทนตำแหน่งของเขาอย่างไม่ต้องสงสัยกันอีกต่อไป
เดี๋ยวตุลาคมนี้เรามาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับทีมชาติไทย
แต่เชื่อเถอะ อย่าดื้อ กล้าคิดนอกกรอบ แล้วทุกอย่างจะดีเอง
แฟนฟุตบอลเขาสนับสนุนคุณอยู่นะ มาซาทาดะ อิชิอิ