‘ยุติธรรม’ แถลงรับคดี ‘ตู้ห่าว’ ทุนจีนสีเทา เป็นคดีพิเศษ สืบเพิ่ม 4-5 นอมินี ไม่เกิน 30 วันแจ้งข้อหาได้

15 ธ.ค. 2565 - 10:01

  • ‘รมต.ยุติธรรม’ เผยรับคดี ‘ตู้ห่าว’ เป็นคดีพิเศษ เข้าเงื่อนไขฟอกเงิน เตรียมสืบเพิ่ม 4-5 นอมินี

  • จ่อเรียกผู้เกี่ยวข้องสอบปากคำภายใน 2 สัปดาห์ คาดไม่เกิน 30 วันแจ้งข้อหาได้

DSI-accepts-the-case-of-Du Hao-gray-Chinese-capital-as-a-special-case-SPACEBAR-Thumbnail

สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (รมว.ยุติธรรม) พร้อมด้วย ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม, พ.ต.ท.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ), ปิยะศิริ วัฒนวรางกูล รองเลขาธิการ ป.ป.ส. และ ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ร่วมแถลงความคืบหน้าคดีกลุ่มจีนสีเทา (15 ธันวาคม 2565) ที่ cook & coff เรือนจำกลางบางขวาง 

รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า ภายหลังจากที่ชูวิทย์ ได้มีวัตถุประสงค์ขอให้รับคดี ตู้ห่าว เป็นคดีพิเศษนั้น ปรากฏว่าเมื่อวานนี้ (14 ธันวาคม) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้รับเป็นคดีพิเศษที่ 314/2565 เพราะได้สอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานไว้แล้ว หลังตั้งเลขสืบสวนรอไว้ จึงได้จัดให้คดีทุนจีนสีเทาเป็นคดีพิเศษ ตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติ การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 โดยผ่านการอนุมัติจากอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยไม่ต้องผ่านบอร์ดคณะกรรมการกรมสอบสวนคดีพิเศษ  

สมศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับการยึดอายัดทรัพย์สินนั้น ก่อนหน้านี้ดำเนินการยึดอายัดทรัพย์สินแล้ว จำนวน 3,020 ล้านบาท ล่าสุดสามารถอายัดทรัพย์สินได้เพิ่มเติม จำนวน 189 ล้านบาท ซึ่งเป็นทรัพย์สินในกลุ่มของนางสาวพัชรินทร์ อิทธิวัฒนา และพวกอีกสองกลุ่ม (สองกลุ่ม) ซึ่งมีทั้งที่ดิน บ้าน อาคารชุด รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ 

“ส่วนสิ่งที่จะทำเพิ่มเติมในฐานะของกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้น เราจะดำเนินการในส่วนของนอมินี โดยอยากให้ทุกคนมีข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือคณะพาลีปราบยาของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ภายใต้การกำกับของกระทรวงยุติธรรม ได้ตรวจสอบพบว่ามีกลุ่มอีก 4-5 กลุ่มที่ อยู่ด้านหลังเครือข่ายตู้ห่าว โดยถือหนังสือเดินทางของต่างประเทศ ซึ่งเป็นบุคคลที่เราคิดว่าเป็นกลุ่มทุนที่ส่งเข้ามา ซึ่งขณะนี้กำลังไล่ตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอได้เลขพาสปอร์ตชาวต่างชาติเหล่านั้นมาแล้ว และกำลังสอบสวนในเชิงลึกว่าเป็นบุคคลใดบ้าง และเมื่อข้อมูลพร้อม จะมีการเปิดเผยตัวตนของกลุ่มทุนเหล่านี้ต่อไป” สมศักดิ์ กล่าว 

สมศักดิ์ กล่าวอีกว่า หน่วยงานที่เราร่วมบูรณาการ มีทั้งคณะพาลีปราบยา เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. โดยล่าสุดมูลค่าการยึดอายัดทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. ได้มีการยึดแล้ว จำนวน 2,192 ล้านบาท แต่ในมูลค่าจำนวนนี้ก็เป็นทรัพย์สินที่ซ้ำซ้อนกับของดีเอสไอ โดยคณะพาลีปราบยาด้วย ดังนั้น เราจึงได้หักยอดที่ซ้ำซ้อนกันออกแล้ว โดยรวมมูลค่าทรัพย์สินประมาณ 4,401 ล้านบาท ทั้งนี้ ขั้นตอนต่อไป ดีเอสไอจะเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องในคดีตู้ห่าวมาสอบปากคำภายในสองสัปดาห์ และยืนยันว่าจะเร่งสอบปากคำให้เสร็จสิ้นไม่เกิน 30 วัน จะดำเนินการให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่สุด โดยตนยังได้มอบหมายให้ ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขาฯ รมว.ยุติธรรม เป็นผู้ประสานทั้งหมดในส่วนของคณะพาลีปราบยา

ด้าน พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษรับบทบาทดำเนินการในส่วนของคดีอาญาของการฟอกเงิน ซึ่งเป็นความผิดตามบัญชีแนบท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 จึงเข้าเกณฑ์รับเป็นคดีพิเศษได้ ส่วนเรื่องทรัพย์สินที่เกี่ยวกับประมวลกฎหมายยาเสพติด ตรงนี้เราจะมีสำนักงาน ป.ป.ส. ที่มีอำนาจตรวจสอบทรัพย์สินดังกล่าว ทั้งนี้ คดีที่อยู่ในส่วนของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ตรงนี้จะยังคงเป็นอำนาจของทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติดังเดิม เพราะดีเอสไอจะรับเฉพาะคดีอาญาการฟอกเงิน ซึ่งก็จะเข้าไปตรวจสอบเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดเรื่องยาเสพติด 

ขณะที่ปิยะศิริ วัฒนวรางกูร รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ในฐานะ โฆษก ป.ป.ส. กล่าวว่า ทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด จะเป็นในส่วนของ ป.ป.ส. ที่จะเข้าร่วมดำเนินการ และหากทรัพย์สินเหล่านั้นเป็นทรัพย์ที่มาจากการกระทำความผิดเรื่องยาเสพติดจริง เมื่อถึงขั้นตอนที่ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินเหล่านี้ตกเป็นของแผ่นดิน จากนั้นก็จะเข้ายังกองทุนปราบปรามยาเสพติดต่อไป 

“ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกคำสั่งตรวจสอบทรัพย์ โดยจะมีการยึดเพิ่มอีกจำนวน 1,223.4 ล้านบาท เนื่องด้วยทรัพย์สินมีจำนวนเยอะ และร่วมบูรณาการหลายหน่วยงาน ทำให้ทรัพย์หนึ่งรายการก็เข้าข่ายผิดกฎหมายหลายส่วน แต่ทุกหน่วยงานต้องนำตัวเลขมารวมกัน” 

ด้าน ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต กล่าวว่า ตามที่ชูวิทย์มีความกังวลใจในเรื่องฐานฟอกเงิน จึงได้มายื่นเรื่องขอให้กระทรวงยุติธรรมช่วยเหลือ ตนจึงได้เรียนท่านสมศักดิ์ รมว.ยุติธรรม ว่า เราต้องบูรณาการทุกส่วนทั้ง ป.ป.ส. คณะพาลีปราบยา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเราก็ดูช่องว่างว่าต้องสืบสวนไปให้ถึงตัวบงการ ซึ่งก็คือ นอมินี ทำให้เรื่องนี้เข้าสู่การเป็นคดีพิเศษ และเราจะทำภาพใหญ่ให้เห็นว่านอกจากยึดทรัพย์สินบุคคลแล้ว ยังมีในส่วนของนิติบุคคล และจะมีการสอบปากคำพยานสำคัญ อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดทั้งมวลที่ได้มา อาจเสนอไปยังอัยการสูงสุดในส่วนของอาชญากรรมข้ามชาติได้เพราะมีทุนต่างชาติเกี่ยวข้อง 

“เบื้องต้นได้มีการออกหมายเรียกทั้งบุคคล และกรรมการบริษัท โดยเราจะเชิญมาสอบปากคำก่อน ส่วนกรอบระยะเวลาก็ภายในสองสัปดาห์ โดยจะออกหมายเรียกให้ครบทั้งหมด และภายใน 1 เดือน จะมีการตั้งข้อกล่าวหาว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง และจะประสานไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อขอให้ร่วมตรวจสอบเส้นทางการเงินว่ามีที่มาอย่างไร แล้วมีจำนวนเงินที่ไม่มีที่มาที่ไปอย่างไร” 

ด้าน ชูวิทย์ กล่าวว่า ขอขอบคุณสมศักดิ์ และทีมงานกระทรวงยุติธรรมอย่างสูง การที่ตนออกมาต่อสู้นั้น เพื่อผดุงความยุติธรรม ยืนยันไม่มีเบื้องหลัง ไม่มีประเด็นขัดแย้งส่วนตัว การที่ DSI รับเป็นคดีพิเศษ จะทำให้เข้ามาดูแลได้ครอบคลุมทั้งหมด ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมคือที่พึ่งสุดท้ายของตน เพราะหากมาที่กระทรวงยุติธรรมแล้วไม่มีไรคืบหน้า ตนคงไปสะพานพุทธกระโดดน้ำตายดีกว่า 

นอกจากนี้ ชูวิทย์ ยังนำกระเช้าดอกไม้มามอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และทีมงาน เพื่อแสดงความขอบคุณด้วยใจ ตอนนี้นอนตายตาหลับแล้ว แต่จะหลับดีขึ้นถ้าคนผิดถูกลงโทษ

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์