‘พระฉันบวบ’ ถึง ‘ลูกสวาท’ มุมมืดอันที่ถูกซุกซ่อนยาวนานในวงการสงฆ์

31 ม.ค. 2566 - 08:50

  • การเสพกามหลากหลายรูปแบบถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์พุทธศาสนา

  • มันคือกรณีศึกษาที่บันทึกไว้เพื่อห้ามกาม แต่ยังมีพระที่พ่ายแพ้ให้กามอยู่ร่ำไป

History-and-politics-of-fallatio-in-thai-buddhist-monastic-community-SPACEBAR-Thumbnail
ช่วงเวลาที่เขียนบทความนี้ กรณี ‘พระฉันบวบ’ กลายเป็นเรื่องโจษจันกันสนุกปากของในหมู่ไทย ถึงพฤติกรรมของคนในผ้าเหลืองระดับเจ้าคณะตำบลที่ถูกจับได้ว่าทำกิจกรรมทางเพศด้วยปากให้กับชาย  พร้อมภาพถ่ายคาหนังคาเขา จนเปรียบเปรยกันว่าหลวงพ่อกำลัง ‘ฉันบวบ’ สำหรับคนที่เข้าใจเรื่องอย่างว่าและรู้ว่าบวบหน้าตาเหมือนอะไรก็คงไม่ต้องอธิบายกันให้ยืดยาวอีก  

ก่อนหน้ากรณีฉันบวบยังมีกรณี ‘ครูบา’ ถูกกล่าวหาว่ามีสัมพันธ์กับชายหนุ่ม และยังมีอีกหลายกรณีในลักษณะเดียวกันที่รอถูกแฉจาก ‘แพรี่’ หรืออดีตพระมหาไพรวัลย์ วรรณบุตร ที่ตอนนี้ผันตัวเองมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์/นักล่าอลัชชีดีกรีเปรียญ 9   

ในขณะที่แพรี่ช่วยเหลือพระศาสนาด้วยการขุดผีในวงการสงฆ์ขึ้นเผาให้สิ้นซาก หลายคนคงรู้สึกว่าวงการสงฆ์ที่ควรจะบริสุทธิ์ผุดผ่องนี่มันสกปรกเสียเหลือเกิน คนที่ไม่เชื่อถืออยู่แล้วยิ่งรังเกียจ คนที่ศรัทธาก็หมดความหวัง ไม่รู้ว่าคนที่ครองผ้าเหลืองที่เรากำลังไหว้อยู่นี่เป็นพระหรือว่าเป็นผี

แต่เรื่องแบบนี้มีมานาน มีมากมายจนเราอาจจะคาดไม่ถึง เพียงแค่มันไม่ถูกขุดขึ้นมาประจานแค่นั้น อย่างวันหนึ่ง ผู้เขียนเรียกแท็กซี่มาโดยสาร เผอิญโชเฟอร์เปิดข่าวพระฉันบวบขึ้นมาพอดี เขาเลยเล่าใฟ้ฟังว่าที่บ้านเขาก็มีเรื่องทำนองนี้ เป็นสองพระที่หนุ่มร่ำเรียนวิชาไสยศาสตร์มาด้วยกัน แต่เรียนอีท่าไหนไม่รู้กลายเป็นคู่ผัวเมียกัน เรียนจบแล้วก็พากันมาอยู่ที่วัดเดียวกัน ทำมาหากินในทางทำเครื่องรางของขลัง จนลูกศิษย์ลูกหามากมาย  

เรื่องคู่รักนักเล่นของในครอบผ้าเหลืองยังมีพล็อตที่เร้าใจกว่านี้อีก แต่ผมขอเล่าแค่นี้ เพราะเกรงว่าจะออกทะเลไปหน่อย แค่อยากจะบอกว่าพระปลอมๆ บ้านเรามีมากจนคาดไม่ถึง และที่จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน เพราะฝ่ายบริหารองค์กรสงฆ์ไม่จริงจังกับปัญหา (เพราะอะไรให้ไปถามแพรรี่) ฝ่ายบริหารบ้านเมืองไม่อยากยุ่งเพราะกลัวจะเปลืองตัว และพวกลูกศิษย์ปกป้อง (หรือปกปิด) เพราะผลประโยชน์มันจุกปาก 

สงครามกับกามราคะ

แต่เรื่องเหลวแหลกพวกนี้ไม่ได้สะท้อนว่าวงการสงฆ์เลวลง มันสะท้อนธรรมชาติอย่างหนึ่งของคนเป็นพระที่ต้องควบคุมกามราคะของตน แต่เสี่ยงที่จะพ่ายแพ้เอาง่ายๆ เพราะอารมณ์ทางเพศมันร้อนแรงดั่งไฟ อย่างในตำรับตำราทางพุทธศาสนามีตัวอย่างเล่าว่า พระภิกษุบางรูปเพียงแค่เห็นผู้หญิงแวบเดียวก็หลงหัวปักหัวปำ พระหนุ่มรูปนั้นเพียงลุกยืนขึ้นเกาะประตูก็สิ้นใจในท่านั้น เพราะแรงราคะเผากายและใจจนตาย พูดภาษาหนังจีนก็คือ ‘ธาตุไฟเข้าแทรก’ 

ในเมื่อพระสงฆ์ต้องทำศึกกับกิเลสตัณหาที่ร้ายกาจขนาดนี้ ท่านจึงต้องมีตัวช่วย นั่นคือพระวินัย ซึ่งเป็นระเบียบปฏิบัติที่เข้มงวดให้สำรวมตัวเองจากเรื่องกาม แต่หากยังคุมไม่อยู่ก็ยังมีองค์กรสงฆ์ที่ปกครองโดยระบบอาวุโสและผู้มากประสบการณ์กว่า (เถรานุเถระ) ช่วยอบรมตักเตือน    

อย่างที่บอกว่าเรื่องพระเสพกามไม่ใช่เรื่องใหม่ มันมีมาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้า ไม่อย่างนั้นในพระวินัยจะเต็มไปด้วยกามวิตถารรูปแบบต่างๆ งั้นหรือ? มันบันทึกรูปแบบการเสพกามเอาไว้มากมายเกินกว่าที่คนปกติจะจินตนาการได้ ที่ต้องบันทึกไว้เพราะมีการละเมิดเกิดขึ้น เมื่อมีตัวอย่างละเมิด หรือ ‘อาบัติ’ แล้วพระพุทธเจ้าจะทรงบัญญัติสั่งห้าม  

ตำนานการฉันบวบ

ในพระวินัยเราจะพบตั้งแต่เรื่องพระเสพกับหญิง พระเสพกับชาย พระเสพกับสัตว์ พระเสพกับตัวเอง เสพกับช่องประตู เสพกับโคลน กับทราย ฯลฯ และลักษณะ (หรือลีลา) การมีเพศสัมพันธ์ อย่างกรณี ‘พระฉันบวบ’ ถือเป็นเรื่องเก่าแล้ว เพราะการฉันบวบมีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล  

ไม่ได้มีแค่กรณีฉันบวบของคนอื่น แต่ยังมีกรณีของ ‘พระฉันบวบตัวเอง’ ด้วย 

ฟังไม่ผิดหรอก ในตำราทางพุทธศาสนาระบุความผิดวินัยของพระบางรูปที่มีกระดูกหลังที่โค้งอ่อนผิดชาวบ้านจนสามารถก้มลงมาประกอบกิจกามให้ ‘บวบ’ ของตัวเองได้ ในพระวินัยบันทึกไว้ว่า “ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีหลังอ่อน เธอถูกความกระสันบีบคั้นแล้ว ได้อมองค์กำเนิดของตนด้วยปาก เธอได้มีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว” 

ยังมีกรณีของพระที่ลึงค์ยาวมากๆ จนสามารถดึงมันเสพสุขที่ประตูหลังของตัวเองได้ ในพระวินัยบันทึกว่า “ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีองค์กำเนิดยาว เธอถูกความกระสันบีบคั้นแล้วได้สอดองค์กำเนิดของตนเข้าสู่วัจจมรรคของตน เธอได้มีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว” 

เห็นหรือยังว่าในคัมภีร์ทางพุทธศาสนามีคอนเทนต์ที่เร้าใจแค่ไหน แต่ที่บันทึกไว้ก็เพื่อห้ามปรามการทำแบบนี้ และต้องเล่าละเอียดจนเห็นภาพเพื่อป้องกันการหาทางเลี่ยงข้อห้ามด้วยวิธีการสารพัดเพื่อที่จะสนองตัณหาตัวเองให้ได้ แต่พระวินัยได้กำหนดข้อห้มละเอียดยิบพร้อมตัวอย่างชัดๆ และหากมีพระรูปไหนที่ฉันบวบให้คนอื่นหรือฉันของตัวเอง โทษทางวินัยคือ ‘ปาราชิก’ หมายถึงต้องสึกสถานเดียว  

ตาเถรเลี้ยงเด็ก

ความต้องการทางเพศมีพลังมหาศาล เป็นสิ่งที่นักบวชในพุทธศาสนาต้องปฏิบัติกับมันเหมือนเป็น ‘ข้าศึก’ แต่แม้ว่าจะมีพระวินัยห้ามไม่ให้ประนีประนอมกับข้าศึก นักบวชบางคนยังหาทาง ‘เลี่ยงบาลี’ เพื่อที่จะเลียบๆ เคียงกับความกระสันของตัวเอง  

หนึ่งในวิธีการเลี่ยงบาลีคือการเลี้ยงเด็กผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นเด็กวัด เณร หรือลูกเต้าเหล่าใครก็ตาม เลี้ยงเอาไว้เชยชม ลูบคลำด้วยความ ‘เอ็นดู’ บางครั้งก็ส่งเสียให้ได้ดิบได้ดี เด็กชายที่พระอลัชชี (หรือสมัยก่อนเรียกว่าเถร) พวกนี้เลี้ยงไว้เรียกว่า ‘ลูกสวาท’ 

แต่ลูกสวาทพวกนี้ถึงขั้นเลี้ยงเอาไว้สำเร็จความใคร่หรือไม่? บางนิยามบอกว่าอาจถึงขั้นนั้น เช่น ในหนังสือ ‘พจนานุกรมลำดับสระ’ ของละออง มีเศรษฐีและพระยาอนุมานราชธน นิยามคำว่า ‘ลูกสวาท’ เอาไว้ว่า “ชายที่ถูกชายนำมาทำสังวาสทางเว็จวรรค” และยังมีคำว่า ‘เล่นสวาท’ ที่หมายถึง “เลี้ยงชายไว้เป็นลูกสวาท” 

จากนิยามนี้แสดงว่าต้องมีการเสพกามกับลูกสวาท แต่มาถึงตอนนี้มีคำที่ต้องอธิบายคือคำว่า ‘เว็จวรรค’ แปลตรงๆ คือ ทางออกของอุจจาระ หมายถึงทวารหนัก การเลี้ยงลูกสวาทจึงต้องมีการเสพกามกันทางทวารหนักนั่นเอง 

วงการพระสงฆ์คงจะช่ำชองเรื่องการเลี้ยงลูกสวาทเอามากๆ ในสมัยโบราณก็รู้กันทั่ว อย่างในบทร้องละครเรื่องลักษณวงษ์ (ในเนื้อเรื่องพระลักษณวงศ์ก็ทรงออกอาการชายรักชายเมื่อพบพราหมณ์เกสร พราหมณ์หนุ่มผู้งามเหมือนหญิงสาว) คำกลอนบอกว่า 

“ชิชะพระองค์ดำรงราช 

มาหลงเล่นลูกสวาสดิน่าบัดสี 

ถ้าเป็นพระเถรหรือเณรชี 

ปานนี้จะต้องเป็นกองกลาง” 

จากคำกลอนร้องเล่นละครเรื่องลักษณวงษ์จะเห็นว่าวงการพระเณรๆ เล่นลูกสวาทกับจนชาวบ้านเอามาล้อเล่นกัน ส่วนคำว่า “เป็นกองกลาง” ผู้เขียนไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร อาจจะหมายถึงลูกสวาทที่หน้าตาสวยๆ พวกเถรคงจะแบ่งกันเชยชมเป็นของกลางประจำวัดกระมัง?

ลูกสวาทพระราชาคณะ

‘ลูกสวาท’ ในภาษาโบราณหมายถึงพฤติกรรมชายรักชาย ใช้ครอบคลุมทั้งพระทั้งโยมที่ชอบเสพสังวาสกับชายด้วยกัน แต่ในวงการผ้าเหลืองมีการเลี้ยงลูกสวาทเป็นกรณีอื้อฉาวกว่ามาก ที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์อย่างโจ่งแจ้ง คือ กรณีของพระพนรัตน์ สมัยกรุงธนบุรี บันทึกไว้ใน ‘พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา’ ว่า “อนึ่งสามเณรศิษย์พระพนรัตนก็ มาฟ้องกล่าวโทษว่าพระพนรัตนส้องเสพเมถุนธรรมทางเวจมรรคแห่งตน จึงโปรดให้พิจารณารับเป็นสัตย์ให้สึกเสีย แล้วเอามาตั้งเป็นหลวงธรรมรักษาเจ้ากรมสังฆการี” 

กรณีนี้สั่นสะเทือนวงการสงฆ์ว่ากว่าพระฉันบวบยุคเราเสียอีก เพราะตำแหน่งพระพนรัตน์ (หรือพระวันรัตน์) เป็นพระราชาคณะชั้นสูงมาก เป็นเสาหลักสำคัญของวงการสงฆ์นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และตำแหน่งพนรันต์/วันรัตน์ยังเป็นพระฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานอีกด้วย อย่างคำว่าวันรัตน์แปลว่า ‘ป่าแก้ว’ หมายถึงผู้สูงส่งซึ่งอยู่ป่า ก็คือ ‘พระป่า’ นั่นเอง ยิ่งตอกย้ำว่า ระดับพระป่าพระกรรมฐานยังพ่ายแพ้ให้กับกามราคะ ถึงกับสังวาสกับลูกสวาทของตัวเอง 

แต่สังคมไทยนับแต่โบราณแยกแยะรสนิยมทางเพศได้ ถึงอดีตพระพนรัตนจะเป็นเสพกามผิดแผกจากบุรุษทั่วไป แต่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยังทรงมีพระกรุณาหรืออาจจะทรงเสียดายความสามารถ จึงให้สึกแล้วรับมาทำราชการมาเป็นเจ้ากรมสังฆการี หรือกรมกองที่มีหน้าที่ดูแลพระสงฆ์  

การเมืองเรื่องเสพเมถุน

แต่ไม่ทุกครั้งที่การเลี้ยงลูกสวาทและเสพกามทางประตูหลังจะจบลงสวยๆ แบบนี้ ยังมีพระชั้นผู้ใหญ่อีกรูปหนึ่งในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีสมณศักดิ์เป็นพนรัตน์เหมือนกัน คือ สมเด็จพระพนรัตน (อาจ) วัดสระเกศ สมัยนั้นตำแหน่งพนรัตน์ถือเป็น ‘แคนดิเดต’  ที่สามารถจะขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ต่อไป 

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สมเด็จพระพนรัตน (อาจ) ดวงกำลังรุ่งเอามากๆ เมื่อสมเด็จพระสังฆราช (มี) สิ้นพระชนม์แล้ว สมเด็จพระพนรัตน (อาจ) จ่อคิวกำลังจะขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช ในหลวงรัชกาลที่ 2 ทรงโปรดให้แห่มาสถิต ณ วัดมหาธาตุ ในเดือน 4  

แต่ระหว่างรอการแต่งตั้งจนถึงเดือน 11 อยู่นั้นก็มีผู้มีผู้ฟ้องร้องว่าสมเด็จพระพนรัตน (อาจ) ชอบหยอกเอินศิษย์หนุ่มด้วยกิริยาไม่เหมาะสม (ซึ่งคงจะเข้าข่ายเลี้ยงลูกสวาท) ซึ่งท่านรับสารภาพ แต่ยืนยันว่าไม่ถึงปาราชิก (คงจะไม่ถึงกับเสพกาม) ในหลวงจึงรับสั่งให้ถอดจากสมณศักดิ์แล้วเนรเทศออกจากพระอารามหลวง  

สิ้นวาสนาแบบไม่ทันตั้งตัว จากว่าที่พระสังฆราช กลายเป็นหลวงตาแก่ๆ อยู่วัดไทรที่กลางทุ่งพญาไท จนตายไปอย่างไม่มีคนรู้จัก

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์