นิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวถึงกรณีที่สังคม ตั้งคำถามและเรียกร้องให้มีการตรวจสอบ กรณีการว่าจ้างเอกชนเปลี่ยนป้ายชื่อ สถานีกลางบางซื่อ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ใช้งบประมาณกว่า 33 ล้านบาท ว่า เรื่องนี้ สำนักงาน ป.ป.ช. ได้สั่งการให้ มีการรวบรวมข้อมูลตามที่ปรากฎเป็นข่าวแล้ว เพื่อดำเนินการตรวจสอบตามกระบวนการ ขณะเดียวกัน ก็มีผู้มาร้องเรียนเรื่องนี้ กับ ป.ป.ช. แล้วเช่นกัน หลังจากนี้จะเข้าสู่กระบวนการตั้งเรื่องขึ้นมารวบรวมข้อเท็จจริงให้ชัดเจนว่าการจัดซื้อจัดจ้าง และการกำหนดสเป็กเป็นอย่างไร
ซึ่งในส่วนของ ป.ป.ช. มีอำนาจตรวจสอบว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้เอกชน หรือผู้ใดหรือไม่ มีการฮั้วประมูลกันหรือเปล่า และเป็นการทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือไม่ เพื่อจะได้เอาผิดในคดีอาญาต่อไป
แต่ในส่วนของความคุ้มค่าในการใช้งบประมาณ จะเป็นอำนาจของ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่จะตรวจสอบ ซึ่งกรณีนี้จะคล้ายการตรวจสอบประเด็นเสาไฟกินนรี
อย่างไรก็ตาม เลขาธิการ ป.ป.ช. ยอมรับว่าบางเรื่องแม้จะมีการจัดซื้อมาโดยไม่จำเป็น แต่หากการซื้อดังกล่าวเป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมายทั้งหมด อย่างรถประจำตำแหน่ง ที่เคยวิจารณ์กัน สุดท้ายก็อาจจะทำอะไรไม่ได้ สตง. ก็ทำได้แค่ท้วงติง แต่หากมีการล็อกสเป็กขึ้นมา ป.ป.ช. ก็จะสามารถเอาผิดได้
ซึ่งในส่วนของ ป.ป.ช. มีอำนาจตรวจสอบว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้เอกชน หรือผู้ใดหรือไม่ มีการฮั้วประมูลกันหรือเปล่า และเป็นการทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือไม่ เพื่อจะได้เอาผิดในคดีอาญาต่อไป
แต่ในส่วนของความคุ้มค่าในการใช้งบประมาณ จะเป็นอำนาจของ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่จะตรวจสอบ ซึ่งกรณีนี้จะคล้ายการตรวจสอบประเด็นเสาไฟกินนรี
อย่างไรก็ตาม เลขาธิการ ป.ป.ช. ยอมรับว่าบางเรื่องแม้จะมีการจัดซื้อมาโดยไม่จำเป็น แต่หากการซื้อดังกล่าวเป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมายทั้งหมด อย่างรถประจำตำแหน่ง ที่เคยวิจารณ์กัน สุดท้ายก็อาจจะทำอะไรไม่ได้ สตง. ก็ทำได้แค่ท้วงติง แต่หากมีการล็อกสเป็กขึ้นมา ป.ป.ช. ก็จะสามารถเอาผิดได้
