เช็กดีกรีความรุนแรง 3 จังหวัดชายแดนใต้ 18 ปี รุนแรงหรือทุเลา?

29 มิ.ย. 2566 - 10:20

  • 20,693 ครั้ง คือเหตุการณ์ไม่สงบที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ช่วง 18 ปีที่ผ่าน (พ.ศ.2547-2565)

  • พ.ศ.2550 เกิดเหตุรุนแรงมากที่สุด 2,300 ครั้ง และผู้เสียชีวิตสูงสุดเช่นกัน 850 คน

  • ขณะที่ พ.ศ.2565 เป็นปีที่ดีกรีความรุนแรงน้อยที่สุดในทุกมิติ

  • พ.ศ.2566 ดีกรีความรุนแรงอาจปะทุขึ้นเพราะ ‘การแบ่งแยกดินแดน’ ถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นช่วงโค้งสุดท้ายของการฟอร์มรัฐบาล

TAGCLOUD-stat-violence-three-southern-border-provinces-SPACEBAR-Thumbnail
ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีอยู่จริง ไม่เคยเงียบหาย และเกิดเป็นระยะตามแรงกระเพื่อมของสถานการณ์การเมือง 

สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคงระดับ 'ซือแป๋' ปักหมุดเหตุการณ์ความรุนแรงจังหวัดชายแดนใต้ยุคปัจจุบันไว้บนเส้นเวลาประวัติศาสตร์ที่ พ.ศ.2547 

“นับจากเหตุการณ์ปล้นปืนในปี 2547 เป็นต้นมา จะเห็นได้ว่าความรุนแรงของผู้ก่อความไม่สงบนั้น เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง และมีเป้าหมายเชิงสัญลักษณ์ที่ชัดเจน” (จุลสารความมั่นคงศึกษา ฉบับที่ 73, กุมภาพันธ์ 2553 - การก่อความไม่สงบในจังหวัดสามชายแดนภาคใต้ของไทย : ปัญหาและพัฒนาการ) 

สุรชาติ ระบุว่า หลังการปล้นปืนที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดในค่ายทหารจังหวัดนราธิวาสในคืนวันที่ 4 มกราคม 2547 สถานการณ์พื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ที่ควรจะสงบตามการสิ้นสุดของสงครามคอมมิวนิสต์ “ก็กลับปะทุขึ้นมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้งอย่างคาดไม่ถึง” (ความท้าทายในภาคใต้! - มติชนสุดสัปดาห์, 13 มิถุนายน 2566) 

คำถามคือ ‘ดีกรีความรุนแรง’ สามจังหวัดชายแดนใต้หลัง พ.ศ.2547 เป็นอย่างไร? 

ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (Deep South Watch) ที่เก็บข้อมูลมาตั้งแต่ พ.ศ.2547-2565 บ่งชี้ว่า ตลอดระยะเวลา 18 ปีที่ผ่านมา การก่อเหตุความรุนแรงมีแนวโน้มลดลง แต่ความรุนแรงยังคงอยู่อย่าง ‘ยืดเยื้อ’ และ ‘เรื้อรัง’ 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/4XwwSumjoiSeoh8Nq8ywbF/e0856c5b816f7016c4f66fafd8a3e4b2/3-southern-provinces
หากมองเหตุการณ์ผ่านเส้นเวลา (Timeline) จะเห็นภาพความรุนแรงคมชัดขึ้น แม้เหตุความรุนแรงลดลง แต่ยังคงน่าเป็นห่วง เพราะปัญหายังอยู่ และความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งที่เห็น 

ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี ผู้จัดทำรายงานข้อมูลของศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้วิเคราะห์ว่า จากข้อมูลที่เก็บมา ทิศทางที่เป็นไปได้อาจมีสองแนวทาง 

หนึ่ง ความรุนแรงอาจลดต่ำลงไปเรื่อยๆ ในรอบ 5 ปีข้างหน้า ซึ่งอาจถือเป็นความสำเร็จในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในภาคใต้ของรัฐบาล 

สอง สถานการณ์จะยังคงขัดแย้งยืดเยื้อเรื้อรังต่อไป และรอวงรอบใหม่ของความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/3AqepldPv32y6aiBfahuEZ/e2f41cb18487a497b5e630ff7b78042c/___________________-cover__1_
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/5l5Z71Z6KoW9Scj6PS9Otl/6f15eb82c9b1b490d061098030af5550/___________________-1__1_
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/5ZQWtXPdC0rvNDcsQvR0lr/9d24f2239cb5f2d1c0c4b67e7e1be7c6/___________________-2__1_
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/IoPrwuHEk9pwwImiBv6WL/43fb220c92f87f0038a79ac80098c7dd/___________________-3__1_
จากข้อมูลความรุนแรงของสามจังหวัดชายแดนใต้ในรอบ 18 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2547-2565) จะเห็นว่า ดีกรีความรุนแรงของสถานการณ์ค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นหลังเหตุปล้นปืน พ.ศ.2547 จนเป็นชนวนจุดระเบิดความรุนแรงหลังจากนั้น 

จนกระทั่งถึง พ.ศ.2556 ดีกรีความรุนแรงก็ทุเลาลง เมื่อเริ่มมีการเจรจาพูดคุยสันติภาพ และค่อยๆ ลดลงมาเป็นลำดับ เช่นเดียวกับจำนวนผู้บาดเจ็บและล้มตาย ซึ่งลดลงมาอยู่จุดที่ผ่อนคลายใน พ.ศ.2563 -- ปีนั้นโควิด-19 ระบาดทั่วประเทศ หลายพื้นที่มีมาตรการล็อกดาวน์ และขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติ หรือ BRN (Barisan Revolusi Nasional) ออกแถลงการณ์หยุดกิจกรรมเคลื่อนไหว เพื่อเปิดทางให้คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เข้าถึงการช่วยเหลือ 

ทว่าสถานการณ์ที่ดูจะสงบขึ้นก็แปรเปลี่ยนไปพร้อมกับสถานการณ์โควิด-19 ที่ทุเลาลง พ.ศ.2564 ตัวเลขความรุนแรงเพิ่มขึ้นสูงอีกครั้ง โดยสถิติผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตมากกว่าปีก่อนหน้า (พ.ศ.2563) ถึง 9% 

แต่โชคดีที่ พ.ศ.2565 ความรุนแรงไม่ได้ไต่ระดับขึ้น และดีกรีความรุนแรงลงมาอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุดในทุกมิติ ไม่ว่าตัวเลขเหตุไม่สงบ ผู้ประสบเหตุ ผู้บาดเจ็บ และผู้เสียชีวิต 

ส่วนใน พ.ศ.2566 สถานการณ์จะเป็นอย่างไร ถ้าดูจากสถานการณ์แวดล้อมที่เป็นปัจจัยเสริมบน ‘หน้าตัก’ ของปัญหาที่มีอยู่ โดยเฉพาะการเมืองที่ยังหาจุดลงตัวไม่ได้ เรื่อง ‘การแบ่งแยกดินแดน’ ถูกหยิบมาเป็นประเด็นใหญ่บนเวทีการเมืองอีกครั้ง เพื่อเป็นอาวุธโจมตีฝั่งตรงข้าม (ในช่วงโค้งสุดท้ายของการโหวตนายกฯ และฟอร์มรัฐบาลชุดใหม่) มีความเป็นไปได้ที่ดีกรีความรุนแรงจะเพิ่มสูงขึ้น ตามเชื้อไฟที่แต่ละฝั่งฝ่ายโหมใส่กัน 

“ปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ จึงเสมือนหนึ่ง ‘รัฐนาวาสยาม’ ในภาคใต้เผชิญคลื่นลมแรงลูกแล้วลูกเล่าอย่างไม่ขาดสาย” สุรชาติ บำรุงสุข เปรียบเปรยปัญหาภาคใต้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา (อ้างถึงบทความเดียวกัน) “แม้จะเปลี่ยน ‘กัปตันเรือ’ มาแล้วหลายคนก็ตาม แต่ความรุนแรงในพื้นที่กลับยังคงเป็นความท้าทายทุกรัฐบาล” 

ขณะที่ ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี ผู้จัดทำรายงานข้อมูลของศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ที่คลุกคลีอยู่กับหน้างานในระดับสายตาที่จังหวัดปัตตานี ตั้งข้อสังเกตที่ชวนขบคิดว่า ตัวเลขความรุนแรงที่ลดลงมาจากการดำเนินนโยบายของ คสช. ที่ให้ความสำคัญกับงานด้านความมั่นคง เป็นเหมือนสันติภาพที่ถูกควบคุมไว้ (ศรีสมภพใช้คำว่า ‘สันติภาพเชิงลบ’) 

ถามว่าดีหรือไม่ ศรีสมภพมองว่า สิ่งนี้ “ไม่ได้ทำให้การพูดคุยสันติภาพและสันติสุขมีความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม” เพียงแค่กดทับปัญหาไว้ แล้วรอวันที่จะกลับมาปะทุอีกครั้ง 

ส่วนข้อมูลดีกรีความรุนแรงสามจังหวัดชายแดนใต้ พ.ศ.2566 จะเป็นอย่างไร คงต้องรอการสรุปข้อมูลในภายหน้า หวังว่าตัวเลขจะดีขึ้น ไม่ ‘ยืดเยื้อ’ และ ‘เรื้อรัง’ เหมือนที่ผ่านมา 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์