พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางมาที่สำนักงานกรรมการป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติหรือ ป.ป.ช.ยื่นหนังสือถึงประธาน ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบการทำงานของหัวหน้าพนักงานสอบสวน และคณะพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับคดีการฟอกเงินจากเครือข่ายเว็บการพนัน BNK Master ที่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถูกกล่าวหาว่าไปมีส่วนเกี่ยวข้องว่าทำโดยชอบธรรมหรือไม่
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า วันนี้เป็นเทียร์ 2 หลังจากเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาได้ร้องขอให้ป.ป.ช. ตรวจสอบว่า คณะพนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจในการสืบสวนสอบสวนทั้งสน.เตาปูนและสน.ทุ่งมหาเมฆ จึงถือว่า ได้มาโดยมิชอบทั้งหมด ไม่สามารถนำเข้าสู่สำนวนได้ ส่วนตัวไม่ได้ลงรายละเอียดในเนื้อหาสำนวนผิดถูกค่อยไปว่ากัน แต่ต้องดูว่า มีอำนาจหรือไม่
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า วันนี้จึงเดินทางมายื่นร้องทุกข์กล่าวโทษเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ตั้งแต่พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รองผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าชุดพนักงานสืบสวนสอบสวนของคดีนี้ และคณะพนักงานสอบสวนทั้งหมด จำนวนกว่า 200 คน ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา อยากขอเตือนน้องๆ ตำรวจว่า การสั่งของผู้บังคับบัญชา หากกังวลว่า มีคำสั่งแล้วไม่ทำ จะโดนย้าย อยากบอกว่า ถ้าย้ายไป ก็ย้ายกลับได้ แต่หากถูกดำเนินคดีอาญาต้องติดคุก ซึ่งบางคนที่กำลังจะเกษียณอายุราชการในเดือนตุลาคมนี้ อาจจะต้องใช้เวลาทั้งนี้ หากป.ป.ช.ชี้มูลความผิดแล้ว ก็ต้องออกจากราชการไว้ก่อน อย่าทำเป็นเล่น เพราะกระบวนการตรวจสอบของป.ป.ช.มีความรอบคอบ เป็นธรรมแน่นอน

พร้อมกันนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังกล่าวถึงการตรวจสอบ เส้นเงินของสน.เตาปูนและสน.ทุ่งมหาเมฆ ซึ่งเป็นเส้นเงินเดียวกัน มูลค่ารวมเกิน 300 ล้านบาท แต่กลับไม่ส่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษตามกฎหมาย ในกรณีนี้พนักงานสอบสวนของสถานีตำรวจเปรียบเสมือนพยาบาล ไม่ใช่แพทย์ หากทำคลอดเอง เด็กจะตาย อย่างนั้นขอแนะนำว่า ให้พนักงานสอบสวนที่เกี่ยวข้องทุกคนมาให้ฟังคำกับป.ป.ช. และบอกว่า ใครเป็นคนสั่งการ เป็นทางเดียวที่จะรอด ส่วนตัวเข้าใจว่า วันนี้ทุกคนเครียดหมด ยืนยันว่า นี่ไม่ใช่การข่มขืน เป็นเพียงการเตือนเท่านั้น ตนเองไม่ได้หน้าด้าน หากผิด ก็พร้อมออกทันที ทั้งนี้ ขอให้ปปง. ตั้งสติและพิจารณาให้รอบคอบ หากต้นไม้เป็นพิษ ผลไม้ที่ออกมาก็เป็นพิษทั้งหมด เช่นเดียวกัน หากหลักฐานได้มาโดยมิชอบ ศาลยกฟ้องทั้งหมด เช่นเดียวกับ ป.ป.ช.ที่ไม่สามารถนำหลักฐานเข้าสู่สำนวนได้

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังได้กล่าวถึงกรณีที่ถอนคำร้องที่ขอให้ป.ป.ช. ตรวจสอบนายกรัฐมนตรี ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบจากกรณีแต่งตั้งผบ.ตร. และส่งตัวกลับสตช. ว่า ส่วนตัวได้ตรวจสอบแล้วพบว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช ได้ยื่นตรวจสอบไปแล้ว แล้วอยู่ในกระบวนการของป.ป.ช. ซึ่งดำเนินการไปไกลแล้ว หากยื่นใหม่ถือเป็นการยื่นซ้ำและทำให้การสอบสวนยิ่งล่าช้า ส่วนตัวจึงได้ถอนคำร้อง และเชื่อว่า นายกรัฐมนตรีถูกหลอกให้เซ็นรับทราบ เพราะคนที่อยู่ในกระบวนการไม่จำเป็นต้องมีส่วนรู้เห็นเสมอไป ท่านอาจจะไม่ได้มีเจตนาในการกระทำความผิด ซึ่งคนที่หลอกหวังเอาแต่ตำแหน่ง หวังเป็นผบ.ตร. หลอกได้ทั้งนายกฯ และลูกน้อง ไม่อายพระบ้างหรืออย่างไร เห็นเพียงประโยชน์ส่วนตน ไม่เห็นถึงลูกน้อง ในส่วนนายกรัฐมนตรีเข้าใจว่า การเป็นส่งตัวกลับไปเพื่อทำงาน แต่ไหนได้เป็นการมาหลอกให้ส่งตัวตอนเที่ยงวัน ซึ่งทำเป็นกระบวนการหวังสกัดไม่ให้เป็นผบ.ตร. โดยคนที่อยู่ในขบวนการคือ คนที่ไปพบนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาลเป็นคนสุดท้าย ก่อนจะมีคำสั่ง และพรุ่งนี้ ส่วนตัวจะมาอธิบายเทียร์ 3 ว่าถูกออกจากราชการได้อย่างไร ซึ่งที่รู้เพราะได้โทรศัพท์ไปกองวินัยฯ จึงรู้ว่า มีการเตรียมการล่วงหน้า 2 วัน พร้อมยืนยันว่า ส่วนตัวไม่ได้พูดคุยกับนายกฯ แต่อย่างใด แต่เป็นการตรวจสอบด้วยตนเอง การออกมาครั้งนี้ ถือเป็นการดับเครื่องชน เพราะต้องการความยุติธรรมคืนเพื่อปกป้องตัวเอง เพราะหากปกป้องตัวเองไม่ได้จะปกป้องประชาชนได้อย่างไร ส่วนที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติปลดป้ายชื่อหน้าห้องและเอารูปออกจากทำเนียบผู้บังคับบัญชา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มองว่าเป็นเรื่องเบ็ดเตล็ดและเป็นการทำตามขั้นตอน ไม่ได้มองว่าเป็นลางร้าย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่ขอพูดถึงว่า เอกสารคัดค้านกรรมการป.ป.ช. ว่าหลุดออกมาได้ยังไง แต่ก็ยอมรับว่า เป็นไปตามเอกสาร และอยากบอกว่า คนทำหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมต้องมีความศักดิ์สิทธิ์เชื่อถือได้ เพราะตำแหน่งอยู่ไม่นาน แต่ตำนานอยู่นาน ความจริงคือความจริง บางคนรู้ที่ไปแต่ลืมที่มา อย่างไรก็ตาม พรุ่งนี้จะเดินทางไปยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากนั้น จะเดินทางไปยื่นฟ้องต่อศาลอาญาทุจริตต่อไป
เมื่อถามว่า ยังมีความหวังว่า นายกรัฐมนตรีจะช่วยในการเพิกถอนคำสั่งให้ออกจากราชการหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ไม่ได้คาดหวังว่าใครจะมาช่วย ตอนนี้ทางออกคือเป็นกระบวนการยุติธรรม ส่วนจะมีโอกาสเป็นผบ.ตร.หรือไม่นั้น เป็นเรื่องของอนาคต แต่ส่วนตัวเชื่อว่า หากตำแหน่งผบ.ตร.มาจากการเลือกตั้ง อย่างไรประชาชนก็จะต้องเริ่มต้นแน่นอน เพราะประชาชนมองว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เปรียบเสมือนยาสามัญประจำบ้าน คิดอะไรไม่ออกบอกโจ๊ก

เมื่อถามว่าคนที่อยู่ในขบวนการสกัดไม่ให้เป็นผบ.ตร.มีคนที่ใหญ่กว่าคนที่เข้าพบนายกฯ อยู่เบื้องหลังหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ไม่มี และมองว่า ไม่เชื่อมโยงไปถึงฝ่ายการเมือง เพราะนี่เป็นกระบวนการของฝ่ายตำรวจ ส่วนที่มีคนออกมาแฉว่า ก่อนเข้าพบนายกรัฐมนตรี บุคคลดังกล่าวได้เดินทางไปบ้านจันทร์ส่องหล้านั้น ส่วนตัวไม่ทราบในเรื่องนี้ แต่เชื่อว่าไม่เกี่ยว
“เล่นกันแรงอยู่แล้ว เพราะว่ามันต้องเล่นกับแรงแบบนี้ในเมื่อคนมันอยากเป็น มันห้ามไม่ได้ ก็คนที่ไปพบนั่นแหละ ใครไปพบก็คนนั้น”
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายของการให้สัมภาษณ์ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ยกแขนขวาเพื่อโชว์สายสิญจน์ และวัตถุมงคล ที่ได้เดินสายทำบุญที่จังหวัดเชียงใหม่เมื่อช่วงเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับ ที่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่จังหวัดเชียงใหม่