หลังจังหวัดเชียงใหม่เผชิญกับเหตุอุทกภัยใหญ่ถึง 2 ครั้ง ในปี 2567 ที่ผ่านมา ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางมาตรการป้องกันน้ำท่วมระยะเร่งด่วน ด้วยการขุดลอกแม่น้ำปิง โดยเสนอของบประมาณจากรัฐบาลในการประชุม ครม.สัญจร เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 จำนวน 171 ล้านบาท
ล่าสุดคณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 เห็นชอบแผนแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างพื้นฐาน แม่น้ำปิง ระยะเร่งด่วน ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ วงเงิน 171 ล้านบาท และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานสำนักงานงบประมาณ เพื่อขอรับเงินจัดสรรงไปดำเนินการโครงดารตามแผน และกรอบระยะเวลาที่กำหนด ตามที่กระทรวงคมนาคม เสนอ
โดยแผนการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างพื้นฐานแม่น้ำปิงระยะเร่งด่วน ประกอบด้วย โครงการขุดลอกและบำรุงรักษาร่องแม่น้ำปิง วงเงิน 157.6 ล้านบาท และโครงการรื้อฝายเก่า จำนวน 3 แห่ง ฝายพญาคำ ฝายหนองผึ้ง และฝายท่าวังตาล วงเงิน 13.8 ล้านบาท

นิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ปัญหาน้ำท่วมที่ผ่านมา จากข้อมูลทางเทคนิคในปัจจุบันแม่น้ำปิงสามารถรองรับปริมาณน้ำได้เพียง 400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งเพียงพอสำหรับการบริหารจัดการน้ำในช่วงเวลาปกติ แต่เมื่อเผชิญกับปริมาณน้ำที่มากถึง 700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งเป็นปริมาณน้ำที่ไหลหลากในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมา แม่น้ำปิงไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน ก่อให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่โดยเฉพาะในเขตเมืองเชียงใหม่

“ปัญหาน้ำท่วมนี้ไม่เพียงแต่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่ แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่เป็นรายได้หลักของจังหวัดเชียงใหม่ จึงต้องมีแผนการดำเนินการเร่งด่วน แผนการขุดลอกแม่น้ำเพื่อขยายขีดความสามารถในการรองรับปริมาณน้ำ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มีน้ำหลากมากกว่าที่โครงสร้างปัจจุบันจะสามารถรองรับได้”
“สำหรับแม่น้ำปิง ซึ่งไม่ได้มีการขุดลอกมานานมากกว่า 10 ปี ในส่วนของพื้นที่ที่จะดำเนินการขุดลอก รวม 41 กิโลเมตร แบ่งเป็น 3 ตอน ได้แก่ ตอนบน 13 กม. ตัวเมือง 20 กม. และตอนล่าง 8 กม.” ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ กล่าว

ด้าน รศ.ชูโชค อายุพงศ์ หัวหน้าศูนย์วิชาการสนับสนุนด้านการบริหารจัดการน้ำ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า เบื้องต้นคาดว่าต้นเดือนเมษายน 2568 จะสามารถเริ่มทำการขุดลอกแม่น้ำปิงได้ โดยงบประมาณตัวนี้จะเป็นการขุดลอกแม่น้ำปิงในพื้นที่ตัวเมืองเชียงใหม่ก่อน และรื้อฝายโบราณ 3 ตัว ในแม่น้ำปิง ซึ่งต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนฤดูฝน
“การขุดลอกแม่น้ำปิงในครั้งนี้จะไม่มีการทิ้งดินบริเวณริมฝั่งแม่น้ำ และได้ประสานสถานที่ทิ้งดิน เป็นที่ดินของราชการทั้งหมดที่อยู่ในเขตเมืองเชียงใหม่”

รศ.ชูโชค กล่าวต่อว่า สำหรับปริมาณน้ำที่ท่วมเมืองเชียงใหม่เมื่อปี 2567 น้ำขึ้นมาระดับ 5.30 เมตร เนื่องจากลำน้ำปิงมีตะกอนจำนวนมาก ทำให้ลำน้ำตื้นเขิน มีความสามารถ รับน้ำได้เพียง 300-400 ลบ.ม./วินาที แต่เมื่อน้ำหลาก เกินกว่า 500 ลบ.ม. /วินาที จึงทำให้น้ำเอ่อล้นท่วม ประกอบกับมีฝายโบราณ กีดขวางทางน้ำ จึงทำให้น้ำปิงยกตัวสูงขึ้น จึงต้องแก้ปัญหาเร่งด่วน ด้วยการขุดลอก และรื้อฝายโบราณ 3 ตัว ที่อยู่ในลำน้ำ ซึ่งจะทำให้มีความสามารถในการรับน้ำได้ถึง ได้ถึง 700-800 ลบ.ม./วินาที
รศ.ชูโชค กล่าวด้วยว่า การรื้อฝายโบราณนั้นได้มีการทำความเข้าใจกับประชาชนกลุ่มผู้ใช้น้ำแล้ว เพราะปัจจุบันประตูระบายน้ำท่าวังตาล สามารถทำหน้าที่ทดแทนฝ่ายโบราณทั้ง 3 ฝ่ายได้ โดยทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นโครงการระยะเร่งด่วนที่ต้องทำ
ส่วนระยะกลาง ที่ต้องดำเนินการขั้นต่อไปคือ การของบประมาณจากรัฐบาลในการขุดขยายลำแม่น้ำปิง เพราะปัจจุบันแม่น้ำปิงถูกบุกรุกล้ำลำน้ำหลายพื้นที่ในตัวเมืองเชียงใหม่ทั้งเอกชนและสถานที่ของรัฐ ซึ่งบางส่วนได้ยินยอมที่จะย้ายออก และส่วนใหญ่พื้นที่ลุกล้ำลำน้ำนั้น เป็นที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ ซึ่งมีการสำรวจข้อมูลผู้บุกรุกหมดแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขในระยะกลาง และขอความร่วมมือกับประชาชนต่อไป

ขณะที่ ธีระวัฒน์ จันทร์แว่น ชาวบ้านป่าแดด อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ในช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมา เกิดน้ำท่วม 2 ครั้ง ตัวบ้านได้รับความเสียหาย รวมถึงสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ที่น้ำท่วมสูงถึงบริเวณที่เก็บของ ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้
ธีระวัฒน์ กล่าวต่อว่า “ท่วมครั้งแรกน้ำเริ่มเข้าเขตรั้วบ้านวันที่ 24 กันยายน 2567 ระดับน้ำท่วมสูงถึงเอว ถือว่าเบาเมื่อเทียบกับครั้งที่สอง ซึ่งมีระยะห่างเพียง 1 สัปดาห์ต่อมา ภายหลังจากที่ได้ล้างบ้าน ทำความสะอาดของทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ต่อมาวันที่ 4 ตุลาคม 2567 น้ำท่วมอีกครั้ง แม้จะย้ายรถยนต์ไปไว้อีกจุดหนึ่งที่คิดว่าน้ำน่าจะท่วมไม่ถึงและสูงกว่าจุดสูงสุดที่น้ำท่วมถึงรอบก่อนพอสมควร แต่รถก็ถูกน้ำท่วมได้รับความเสียหาย”

“ส่วนตัวมองว่าปัญหาน้ำท่วมเกิดจากน้ำไหลมาในปริมาณมากและระบายไม่ทัน การขุดลอกน้ำปิงอาจช่วยแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่ง คือแก้ปัญหาเรื่องการจัดการการระบายน้ำ แต่ปัญหากปริมาณน้ำมาก ยังไม่เห็นหน่วยงานไหนพูดถึง ซึ่งส่วนนี้คือปัญหาระยะยาวที่อาจตะต้องบูรณาการร่วมกันกับหลายหน่วยงาน ทั้งการปลูกป่าชดเชยผืนป่าที่ถูกแผ้วถางไป การรักษาป่า การวางผังเมือง ผังทางน้ำ ส่วนงบประมาณจำนวน 170 กว่าล้านที่ ครม.อนุมัติมา ยังเชื่อว่าสามารถแก้ปัญหาในระยะเร่งด่วนได้ หากดำเนินโครงการอย่างปราศจากการคอร์รัปชัน”
— ธีระวัฒน์ จันทร์แว่น

ธีระวัฒน์ กล่าวอีกว่า นอกจากการขุดลอกคูคลอง ที่ควรจะดำเนินการเป็นประจำทุกปีแล้ว ควรจะเข้มงวดในการจัดการวางผังทางไหลของน้ำ ให้น้ำระบายไปพื้นที่ตอนล่างได้เร็วที่สุด และอยากให้มีมาตรการในการแจ้งเตือนประชาชนได้รวดเร็วกว่านี้ โดยเฉพาะหน่วยงานการปกครองส่วนท้องถิ่น หรือผู้นำชุมชน ซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับประชาชนในพื้นที่ที่สุด ควรจะมีชุดข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับปริมาณน้ำและแจ้งเตือนให้คนในชุมชนอีกช่องทางหนึ่ง เหตุผลเนื่องจากมีคนสูงวัยหลายคนที่ไม่ได้ใช้สมาร์ชโฟน (Smart phone) ดังนั้นการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอาจมีช่องว่างสำหรับคนกลุ่มนี้
