ภายหลังจากที่รัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ได้มอบนโยบายให้มีการศึกษาและทบทวนยกเลิกกฎหมายห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเวลา 14.00-17.00 น. และวันสำคัญทางศาสนา โดยมองว่าเป็นอุปสรรคต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และไม่สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025
ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจความคิดเห็นผู้ประกอบการร้านอาหารต่างๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ ในวันสำคัญทางพุทธศาสนา วันมาฆบูชา ที่ผ่านมา พบว่าร้านค้าร้านอาหารหลายแห่งต่างปิดร้าน เนื่องจากมีกฎหมายห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญดังกล่าว
ลัดดา ผู้ประกอบการร้านอาหารแห่งหนึ่ง ย่านถนนลอยเคราะห์ เปิดเผยว่า ลูกค้าหลักของร้านเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ในย่านนี้เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ส่วนใหญ่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ตั้งแต่เช้าไปตลอดทั้งวัน แต่ด้วยช่วงเวลาที่กฎหมายกำหนดห้ามไว้ ก็ทำให้ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยต้องผิดหวังเพราะทางร้านไม่สามารถขายให้ได้ เพราะติดเรื่องกฎหมาย บางคนก็เข้าใจ บางคนก็หงุดหงิด
“ในฐานะผู้ประกอบการร้านอาหารเห็นด้วยกับแนวคิดแก้กฎหมายในครั้งนี้ เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติตั้งใจมาเที่ยวมาพักผ่อน เช่นเดียวกับทางร้านที่ต้องการจะมีรายได้ในส่วนที่ขาดหายไป หากมีการปลดล็อคก็จะหนุนท่องเที่ยวและสร้างเศรษฐกิจให้คึกคักมากขึ้น โดยเฉพาะย่านถนนลอยเคราะห์ที่มีร้านอาหารและบาร์อยู่กว่า 30 แห่ง รวมไปถึงย่านท่องเที่ยวอื่นๆ ในตัวเมืองเชียงใหม่ที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาเป็นจำนวนมากตลอดทั้งปี เชื่อว่าแนวคิดปลดล็อคขาย เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ จะส่งผลดีมากกว่าผลเสียอย่างแน่นอนและอยากให้ทันช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึง”
ด้าน ธนิต ชุมแสง นายกสมาคมร้านอาหารและสถานบันเทิง จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า การปลดล็อคเวลาขายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 14.00 น. - 17.00 น. และวันสำคัญทางพุทธศาสนา ถือเป็นสัญญาณที่ดี เพราะกฎหมายเดิมที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2515 แล้ว แต่ปัจจุบันเชียงใหม่ รายได้หลักเกิดจากการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่เข้ามาเที่ยวและมาพักผ่อน ซึ่งมีความต้องการที่จะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่แล้ว ถ้ามีการยกเลิกกฎหมายนี้ ก็จะเป็นการอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยว
“ถ้ามีการปลดล็อคกฎหมายห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในวันพระใหญ่ได้ ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะทุกวันนี้แม้ว่าจะห้ามขาย ธรรมชาติของคนไทย ก็ยังซื้อมากักตุนไว้ก่อน และดื่มตามปกติ ซึ่งการปลดล็อคนี้จะส่งผลดีและต่อธุรกิจร้านอาหาร และการท่องเที่ยวของเชียงใหม่ เพราะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมได้ เพราะร้านอาหารเปิดการขายได้ยาวนานขึ้น ยอดขายเรื่องของอาหารก็มากขึ้น มีรายได้มากขึ้น ก็เกิดการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าและนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น”
“แต่สิ่งที่ภาครัฐควรทำ คือ เข้มงวดกวดขันกฎหมายเมาแล้วขับ รวมถึงเข้มงวดการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ให้กับเยาวชนที่อายุไม่ถึง 20 ปี และทำแคมเปญสะท้อนผลเสียว่าดื่มแล้วส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไรมากกว่า เพราะสุดท้ายแล้วคนเราถ้าไม่ดื่มก็คือไม่ดื่ม คนจะดื่มห้ามอย่างไร ก็เสาะหามาดื่มจนได้”
ขณะที่ วัลลภ นามวงศ์พรหม รองประธานสภาวัฒนธรรมเชียงใหม่ กล่าวว่า หลักการปฏิบัติของพุทธศาสนิกชน ในวันสำคัญทางพุทธศาสนาไม่สมควรที่จะมีการจำหน่ายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ต้องเป็นหลักสำคัญที่สุด เพราะรัฐบาลประกาศเป็นวันหยุดให้กับพุทธศาสนิกชนไปทำบุญที่วัด
“ซึ่งการปลดล็อคขายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ในวันสำคัญทางพุทธศาสนาถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และหยุดจำหน่ายหยุดดื่มเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา กฎหมายเดิมก็มีอยู่แล้วในเรื่องของการจำหน่ายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ภายในวัดและรอบบริเวณวัดก็ถือว่าผิดกฎหมาย เพราะวันสำคัญทางพุทธศาสนาไม่ได้มีทุกวัน นานๆ ทีจะมีหนึ่งครั้งเท่านั้น หากมีการปลดล็อคจริงทางสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ ก็จะต้องมีการเคลื่อนไหวไปถึงผู้ที่มีอำนาจ”
รองประธานสภาวัฒนธรรมเชียงใหม่ กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันแม้จะมีกระแสที่พูดถึงเรื่องของการยกเลิกให้เฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ก็ไม่ถูกต้อง เพราะมองกลับกันหากเราไปต่างประเทศ แต่ละประเทศก็มีกฎข้อห้ามที่เราต้องปฏิบัติตามเช่นกัน หลักสำคัญคือหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวประเทศเราต้องประชาสัมพันธ์ให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติรับรู้ถึงวันสำคัญทางพุทธศาสนา
“ส่วนกรณีการปลดล็อค เวลางดจำหน่ายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ช่วงเวลา 14.00 น.- 17.00 น. ที่ไม่ใช่วันสำคัญทางพุทธศาสนา อันนี้ก็แล้วแต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณา ส่วนตัวมองว่า ต่อให้จะมีการห้ามขายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ช่วงเวลานี้ หากคนจะดื่มก็มีการลักลอบดื่มอยู่ดี ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องต้องห้ามที่จะมีการปลดล็อค อยู่แล้ว ซึ่งก็เห็นด้วยหากจะเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่”
