



ร้องเรียน-ล้อเลียน! ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เข้าร้องเรียนต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอให้ตรวจสอบตำรวจท่องเที่ยว 2 นาย ที่ช่วยลากกระเป๋าให้ ทนายตั้ม หรือ ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ที่ สนามบินสุวรรณภูมิ โดยมีพนักงานสายการบินแห่งหนึ่งยืนเรียงแถวไหว้ก่อนเช็กอิน
โดยวันนี้ (25 เม.ย.) ชูวิทย์ เดินทางมาร้องเรียนด้วยลีลาเดินลากกระเป๋ามาอย่างเดินทางทุลักทุเล พร้อมกับพูดในทำนองว่าตัวเองแก่แล้ว กระเป๋าหนัก ไม่รู้ว่าจะมีเจ้าหน้าที่มาช่วยยกกระเป๋า ให้บ้างไหม ก่อนจะให้สัมภาษณ์ว่า อยากให้ ผบ.ตร.ตรวจสอบพฤติกรรม ของตำรวจท่องเที่ยวทั้งสองนายว่า ช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ระหว่างปฎิบัติหน้าที่หรือไม่หรือ และตำรวจทั้งสองนายอำนวยความสะดวกให้ประชาชนคนอื่นเหมือนกับที่ทำให้ทนายตั้มหรือไม่ แต่หากไม่ได้อยู่ในเวลางาน ตำรวจทั้งสองนายได้รับคำสั่งจากใครมาหรือไม่
นอกจากนี้ ชูวิทย์ ยังตั้งคำถามว่าเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ได้ตรวจสอบสัมภาระและหลักฐานการสำแดงภาษีสินค้าของทนายตั้มทุกครั้งหลังเดินทางกลับเข้าไทยหรือไม่ เพราะเห็นว่าทนายตั้ม มีเสื้อผ้าแบรนด์เนมจากต่างประเทศ และยังมีนาฬิกาหรูยี่ห้อปาเต๊ะฟิลลิป ราคา 6 ล้านบาท รวมถึงกระเป๋สแบรนด์เนมอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก
ชูวิทย์ ย้ำว่าการร้องขอให้ตรวจสอบเรื่องนี้ตำรวจอาจเห็นว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะอยากให้ตำรวจบริการประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ให้บริการเฉพาะ VVIP พร้อมอ้างว่าการร้องเรียนครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เเต่เป็นการทำประโยชน์ให้สังคม ย้ำว่าหาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก ต้องการเป็นเบอร์ 1 ต้องระวังเรื่องคนใกล้ตัวให้ดี
อีกประเด็นที่ ชูวิทย์ พูดถึงคือเรื่องการซื้อเสียงในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง โดย ชูวิทย์ อ้างว่าเขามีหลักฐานเกี่ยวกับการซื้อเสียงในพื้นที่ 20 จังหวัด ในจำนวนนี้ มี อสม.เป็นตัวกลางในการซื้อเสียง คอยรวบรวมชื่อของชาวบ้าน ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือเป็นพวกผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน โดยราคาค่าหัวมีหลายราคา เช่น ไปร่วมฟังประชุมได้ 100 - 300 บาท ไปร่วมฟังปราศรัยใหญ่ได้ 300 - 500 บาท แต่ถ้าขนคนมาเต็มรถกระบะจะได้ 800 - 1,000 บาท และบางพื้นที่มีการจ่ายแบบมัดจำ โดยจะจ่ายให้อีกครึ่งหนึ่งในคืนก่อนวันเลือกตั้ง และบางที่ เช่น จ.อำนาจเจริญ มีการยึดบัตรประชาชนเอาไว้ก่อนด้วย
ช่วงหนึ่ง ชูวิทย์ ยังพูดถึง กกต.ว่าจนถึงตอนนี้ หาก กกต.ยังไม่รู้ว่าพื้นที่เขตไหนมีการซื้อเสียงบ้างก็คงตายแล้ว และประเทศไทยคงราคาถูกแสนถูก เพราะราคาไม่กี่พันบาทก็สามารถซื้อได้แล้ว ส่วนประเด็นที่ กกต.บอกว่าจะไม่เชิญชูวิทย์ มาให้ข้อมูลการซื้อเสียงเพราะมองว่าสิ่งที่ชูวิทย์ทำเป็นแค่คอนเทนต์ ประเด็นนี้ ชูวิทย์ ได้ตอบกลับว่า ช่วยไม่ได้ เพราะประเทศไทยไม่ใช่ของผมคนเดียว พร้อมเตือน กกต.ว่าให้ระวังตัวให้ดี เพระาการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งมากที่สุดในประวัติศาสต์ โดยต่อจากนี้เขาจะนำหลักฐานส่งให้ กกต.โดยจะมีการเขียนละเอียดต่างให้มีความชัดเจนมากที่สุดเพื่อให้ง่ายต่อการเอาผิด
ขณะที่ พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจ ซึ่งเป็นตัวแทนรับหนังสือร้องเรียน บอกว่า ผบ.ตร. ได้สั่งการด่วนให้กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นนี้แล้ว และหากพบว่าเป็นความผิดจะให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่โดยรายงานผลให้ทราบโดย
โดยวันนี้ (25 เม.ย.) ชูวิทย์ เดินทางมาร้องเรียนด้วยลีลาเดินลากกระเป๋ามาอย่างเดินทางทุลักทุเล พร้อมกับพูดในทำนองว่าตัวเองแก่แล้ว กระเป๋าหนัก ไม่รู้ว่าจะมีเจ้าหน้าที่มาช่วยยกกระเป๋า ให้บ้างไหม ก่อนจะให้สัมภาษณ์ว่า อยากให้ ผบ.ตร.ตรวจสอบพฤติกรรม ของตำรวจท่องเที่ยวทั้งสองนายว่า ช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ระหว่างปฎิบัติหน้าที่หรือไม่หรือ และตำรวจทั้งสองนายอำนวยความสะดวกให้ประชาชนคนอื่นเหมือนกับที่ทำให้ทนายตั้มหรือไม่ แต่หากไม่ได้อยู่ในเวลางาน ตำรวจทั้งสองนายได้รับคำสั่งจากใครมาหรือไม่
นอกจากนี้ ชูวิทย์ ยังตั้งคำถามว่าเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ได้ตรวจสอบสัมภาระและหลักฐานการสำแดงภาษีสินค้าของทนายตั้มทุกครั้งหลังเดินทางกลับเข้าไทยหรือไม่ เพราะเห็นว่าทนายตั้ม มีเสื้อผ้าแบรนด์เนมจากต่างประเทศ และยังมีนาฬิกาหรูยี่ห้อปาเต๊ะฟิลลิป ราคา 6 ล้านบาท รวมถึงกระเป๋สแบรนด์เนมอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก
ชูวิทย์ ย้ำว่าการร้องขอให้ตรวจสอบเรื่องนี้ตำรวจอาจเห็นว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะอยากให้ตำรวจบริการประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ให้บริการเฉพาะ VVIP พร้อมอ้างว่าการร้องเรียนครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เเต่เป็นการทำประโยชน์ให้สังคม ย้ำว่าหาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก ต้องการเป็นเบอร์ 1 ต้องระวังเรื่องคนใกล้ตัวให้ดี
อีกประเด็นที่ ชูวิทย์ พูดถึงคือเรื่องการซื้อเสียงในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง โดย ชูวิทย์ อ้างว่าเขามีหลักฐานเกี่ยวกับการซื้อเสียงในพื้นที่ 20 จังหวัด ในจำนวนนี้ มี อสม.เป็นตัวกลางในการซื้อเสียง คอยรวบรวมชื่อของชาวบ้าน ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือเป็นพวกผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน โดยราคาค่าหัวมีหลายราคา เช่น ไปร่วมฟังประชุมได้ 100 - 300 บาท ไปร่วมฟังปราศรัยใหญ่ได้ 300 - 500 บาท แต่ถ้าขนคนมาเต็มรถกระบะจะได้ 800 - 1,000 บาท และบางพื้นที่มีการจ่ายแบบมัดจำ โดยจะจ่ายให้อีกครึ่งหนึ่งในคืนก่อนวันเลือกตั้ง และบางที่ เช่น จ.อำนาจเจริญ มีการยึดบัตรประชาชนเอาไว้ก่อนด้วย
ช่วงหนึ่ง ชูวิทย์ ยังพูดถึง กกต.ว่าจนถึงตอนนี้ หาก กกต.ยังไม่รู้ว่าพื้นที่เขตไหนมีการซื้อเสียงบ้างก็คงตายแล้ว และประเทศไทยคงราคาถูกแสนถูก เพราะราคาไม่กี่พันบาทก็สามารถซื้อได้แล้ว ส่วนประเด็นที่ กกต.บอกว่าจะไม่เชิญชูวิทย์ มาให้ข้อมูลการซื้อเสียงเพราะมองว่าสิ่งที่ชูวิทย์ทำเป็นแค่คอนเทนต์ ประเด็นนี้ ชูวิทย์ ได้ตอบกลับว่า ช่วยไม่ได้ เพราะประเทศไทยไม่ใช่ของผมคนเดียว พร้อมเตือน กกต.ว่าให้ระวังตัวให้ดี เพระาการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งมากที่สุดในประวัติศาสต์ โดยต่อจากนี้เขาจะนำหลักฐานส่งให้ กกต.โดยจะมีการเขียนละเอียดต่างให้มีความชัดเจนมากที่สุดเพื่อให้ง่ายต่อการเอาผิด
ขณะที่ พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจ ซึ่งเป็นตัวแทนรับหนังสือร้องเรียน บอกว่า ผบ.ตร. ได้สั่งการด่วนให้กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นนี้แล้ว และหากพบว่าเป็นความผิดจะให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่โดยรายงานผลให้ทราบโดย