






ที่ สน.นางเลิ้ง ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ นำหลักฐานเกี่ยวกับพฤติการณ์ของ ‘หยู ซิน ฉี’ ประธานมณฑลส่านซี สมาคมแห่งประเทศไทย และสมาคมชาวจีนอื่นๆ ที่พบว่าเข้าข่ายความผิดตาม มาตรา 112 มามอบให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษและขอให้มีการเอาผิดในประเด็นนี้ รวมถึงแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง เพื่อเอาผิด ‘หยู ซิน ฉี’ ในข้อหาข้อหาหมิ่นประมาท ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีที่ ‘หยู ซิน ฉี’ กล่าวหาว่าเขาเป็นเศษขยะ
‘ชูวิทย์’ บอกว่าได้รวบรวมข้อมูลพฤติการณ์ของ ‘หยู ชิน ฉี’ มานานแล้ว และได้ส่งข้อมูลต่อให้ ‘รังสิมันต์ โรม’ ส.ส.พรรคก้าวไกล ไปใช้ในการอภิปรายรัฐบาลในสภาฯ ที่ผ่านมา โดย ‘หยู ซิน ฉี’ เป็นตัวอย่างของทุนจีนสีเทาอีกประเภทหนึ่ง ที่อวดอ้างว่าตัวเองใกล้ชิดกับราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งทหาร ตำรวจ และสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างความเสื่อมเสียให้กับสถาบันฯ อย่างชัดเจน จึงอยากให้ ผู้บัญชาการตำรวจเเห่งชาติ ดำเนินคดีกับ ‘หยู ฉิน ซี’ ในความผิดตาม มาตรา 112
นอกจากนี้ยังพบว่า ‘หยู ซิน ฉี’ มีการต่อวีซ่าเกษียณอายุ (Non-O Visa) และตั้งสมาคมเถื่อน ซึ่งถือเป็นความบกพร่องของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ที่เป็นประตูแรกในการเปิดรับต่างชาติเข้ามา โดยไม่มีตรวจสอบประวัติให้ดี พร้อมเสนอว่าควรให้ ตม. ย้ายไปอยู่ในสังกัดกระทรวงมหาดไทยจะดีกว่า พร้อมขอให้กระทรวงมหาดไทย ไปตรวจสอบสมาคมต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี หลังพบว่ามีสมาคมต่างๆ อยู่ประมาณ 500 แห่ง เกรงว่าอาจเกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนสีเทา ซึ่งนอกจากกลุ่มทุนจีนสีเทาที่เคยแฉไปแล้ว ยังมีสมาคมเถื่อนของ ‘ไบ๋เจ้า ฮวย’ แก๊ง 14K อีกด้วย
‘ชูวิทย์’ ยังประกาศว่าในวันพรุ่งนี้ (21 ก.พ.) เวลา 13.00 น. หลังเลิกประชุม ครม. เขาจะนำหลักฐานเกี่ยวกับการทุจริตในหน่วยงานของกระทรวงต่างๆ มามอบให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และอยากไปตรวจดูชะตาบ้านเมือง ว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นอย่างไร เพราะมีการทุจริตในหลายกระทรวง ตั้งแต่ระดับ S-XL ทั้งพนันออนไลน์ การเรียกรับส่วยในกรมอุทยาน รวมถึงการทุจริตในส่วนของสำนักงานอัยการ ที่มีการวิ่งเต้นให้ล้มคดี เช่น คดีตู้ห่าว คดีบอส วรยุทธ และคดีกำพล วิคตอเรียซีเครท
ขณะที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่าเบื้องต้น ‘หยู ซิน ฉี’ ถูกแจ้งข้อหาในความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ความผิดตาม พ.ร.บ.เรี่ยไร และความผิดเกี่ยวกับการตั้งสมาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมขึ้นบัญชีแบล็กลิสต์ถาวร ก่อนผลักดันออกนอกประเทศต่อไป โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เชื่อว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐคอยให้การช่วยเหลือกลุ่มทุนจีนสีเทาอยู่ เพราะไม่ใช่นั้น คงไม่มาถึงขนาดนี้ ยืนยันว่าหากพบว่ามีใครเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด จะดำเนินการเอาผิดทางกฎหมายแน่นอน
‘ชูวิทย์’ บอกว่าได้รวบรวมข้อมูลพฤติการณ์ของ ‘หยู ชิน ฉี’ มานานแล้ว และได้ส่งข้อมูลต่อให้ ‘รังสิมันต์ โรม’ ส.ส.พรรคก้าวไกล ไปใช้ในการอภิปรายรัฐบาลในสภาฯ ที่ผ่านมา โดย ‘หยู ซิน ฉี’ เป็นตัวอย่างของทุนจีนสีเทาอีกประเภทหนึ่ง ที่อวดอ้างว่าตัวเองใกล้ชิดกับราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งทหาร ตำรวจ และสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างความเสื่อมเสียให้กับสถาบันฯ อย่างชัดเจน จึงอยากให้ ผู้บัญชาการตำรวจเเห่งชาติ ดำเนินคดีกับ ‘หยู ฉิน ซี’ ในความผิดตาม มาตรา 112
นอกจากนี้ยังพบว่า ‘หยู ซิน ฉี’ มีการต่อวีซ่าเกษียณอายุ (Non-O Visa) และตั้งสมาคมเถื่อน ซึ่งถือเป็นความบกพร่องของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ที่เป็นประตูแรกในการเปิดรับต่างชาติเข้ามา โดยไม่มีตรวจสอบประวัติให้ดี พร้อมเสนอว่าควรให้ ตม. ย้ายไปอยู่ในสังกัดกระทรวงมหาดไทยจะดีกว่า พร้อมขอให้กระทรวงมหาดไทย ไปตรวจสอบสมาคมต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี หลังพบว่ามีสมาคมต่างๆ อยู่ประมาณ 500 แห่ง เกรงว่าอาจเกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนสีเทา ซึ่งนอกจากกลุ่มทุนจีนสีเทาที่เคยแฉไปแล้ว ยังมีสมาคมเถื่อนของ ‘ไบ๋เจ้า ฮวย’ แก๊ง 14K อีกด้วย
‘ชูวิทย์’ ยังประกาศว่าในวันพรุ่งนี้ (21 ก.พ.) เวลา 13.00 น. หลังเลิกประชุม ครม. เขาจะนำหลักฐานเกี่ยวกับการทุจริตในหน่วยงานของกระทรวงต่างๆ มามอบให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และอยากไปตรวจดูชะตาบ้านเมือง ว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นอย่างไร เพราะมีการทุจริตในหลายกระทรวง ตั้งแต่ระดับ S-XL ทั้งพนันออนไลน์ การเรียกรับส่วยในกรมอุทยาน รวมถึงการทุจริตในส่วนของสำนักงานอัยการ ที่มีการวิ่งเต้นให้ล้มคดี เช่น คดีตู้ห่าว คดีบอส วรยุทธ และคดีกำพล วิคตอเรียซีเครท
ขณะที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่าเบื้องต้น ‘หยู ซิน ฉี’ ถูกแจ้งข้อหาในความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ความผิดตาม พ.ร.บ.เรี่ยไร และความผิดเกี่ยวกับการตั้งสมาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมขึ้นบัญชีแบล็กลิสต์ถาวร ก่อนผลักดันออกนอกประเทศต่อไป โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เชื่อว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐคอยให้การช่วยเหลือกลุ่มทุนจีนสีเทาอยู่ เพราะไม่ใช่นั้น คงไม่มาถึงขนาดนี้ ยืนยันว่าหากพบว่ามีใครเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด จะดำเนินการเอาผิดทางกฎหมายแน่นอน