วันนี้ (22 ต.ค.) ที่กองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าติดตามตัวผู้ต้องหาในคดีตากใบ ก่อนคดีหมดอายุความในวันที่ 25 ต.ค. นี้ ว่า ได้เดินทางไปที่ตำรวจภูธรภาค 9 เพื่อสอบถาม และสั่งให้เร่งรัดติดตามผู้ต้องหาตามหมายจับภายในอายุความ พร้อมออกวิทยุราชการกำชับกองบัญชาการ และภูธรจังหวัดติดตามผู้ต้องหาที่มีภูมิลำเนา และถิ่นที่อยู่ ร่วมถึงประสานกับกองการต่างประเทศ เพื่อให้ออกหมายแดงติดตามตัวผู้ต้องหาที่มาดำเนินคดีตามกฎหมาย
รวมแล้วได้สั่งการด้วยหนังสือให้ติดตามจับกุมรวม 29 ครั้ง และได้สั่งการติดตามจุดเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง เพื่อระมัดระวังการหลบหนีออกนอกประเทศ กว่า 180 ครั้ง เป็นไปตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีที่ให้ดำเนินการอย่างเต็มที่
ยืนยันหากมีข้อมูลว่าผู้ต้องหาหลบซ่อนที่ไหน พร้อมจับกุมทันทีและจริงจัง ย้ำไม่ได้ปล่อยผ่าน และจากข้อมูลทราบว่ามีบางคนที่หลบหนีออกนอกประเทศ ก่อนจะมีการออกหมายจับ ส่วนคนที่เหลือยังไม่มีข้อมูลว่าหลบหนีออกนอกประเทศ ย้ำเจ้าหน้าที่เฝ้าติดตามอยู่ทุกวิถีทาง
ส่วนมั่นใจหรือไม่ว่าจะสามารถติดตามตัวผู้ต้องหาตามหมายจับได้ทันก่อนคดีหมดอายุความ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ระบุว่า มีความตั้งใจที่จะเอาตัวมาให้ได้
เมื่อถามว่าหากท้ายที่สุดฝ่ายการเมืองมีการแก้กฎหมายเพื่อขยายอายุความคดีตากใบ ตำรวจมีมาตรการในการรองรับการจับกุมผู้ต้องหาอย่างไร พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ระบุว่า ตอนนี้เราอยู่ในอายุความ มุ่งเป้าไปที่การสืบสวนติดตามตัวผู้ต้องหา ส่วนประเด็นอื่นขอให้ว่าไปในเรื่องกฎหมาย ย้ำเราไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการเมือง และไม่อยากให้เชื่อมโยงกับเรื่องการเมือง เพราะเราเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในการเดินหน้าปฏิบัติตาม ซึ่งส่วนตัวย้ำกับเจ้าหน้าที่ทุกกองบัญชาการอยู่ตลอดว่า อย่าหยุดติดตามนะ
ส่วนความกังวลสถานการณ์ชายแดนใต้ หลังคดีหมดอายุความ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ระบุ ว่า ตอนนี้ยังไม่ได้คิดถึงประเด็นนั้น แต่เราพยายามตั้งใจและทำตอนนี้ให้ดีที่สุดอย่างเต็มที่แล้ว
ทั้งนี้ คดีตากใบ เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2547 โดยศาลจังหวัดปัตตานีและนราธิวาส มีคำพิพากษาให้ภาครัฐชดใช้เยียวยาผู้เสียหายแล้ว ต่อมามีประชาชนยื่นฟ้องศาลให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหา รวมถึงอัยการได้มีความเห็นสั่งฟ้องคดีดังกล่าวต่อศาล รวมแล้วในคดีนี้มีผู้ต้องหาทั้งหมด 14 คน จนนำไปสู่การออกหมายจับในเวลาต่อมา
