พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินคดี 18 ผู้ต้องหา ‘บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด’ หลังจับกุมตัวทั้งหมดได้ วานนี้ (16 ต.ค.) ว่า การขยายผลความผิดและเครือข่ายผู้ต้องหา เป็นเรื่องที่ตำรวจชุดสืบสวนและสอบสวน จะต้องดำเนินการต่อตามขั้นตอน
รวมไปถึงการเก็บรวบรวมพฤติการณ์การกระทำความผิด เส้นทางการเงินบัญชีของตัวผู้ต้องหาและรอบด้านที่เกี่ยวข้อง
แต่ทั้งหมดนี้ ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับตัวผู้ต้องหาที่ทำการจับกุมมาก่อนหน้าว่า จะให้ความร่วมมือต่อการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจมากน้อยเพียงใด แต่ถึงแม้จะไม่มีการให้การที่เป็นประโยชน์ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะต้องทำงานต่อให้ได้
— พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)
ผู้สื่อข่าวถามว่าในการที่จะส่งต่อคดีนี้ให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งทราบว่าขณะนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมการพิจารณาแล้ว พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ตำรวจได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับดีเอสไอ เพื่อพิจารณาเงื่อนไขของคดี จำนวนผู้เสียหาย จำนวนทรัพย์สิน ฐานความผิด เพื่อให้การส่งมอบเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ซึ่งในระหว่างที่ยังไม่ได้ทำการส่งมอบ พนักงานสอบสวนเองจะทำการสืบสวนสอบสวนขยายผลให้ถึงที่สุดก่อน การที่วานนี้ดีเอสไอมีการตั้งคณะทำงานพิจารณา ตนเองเชื่อว่าเป็นการเตรียมที่จะพิจารณาว่าเรื่องนี้เข้ากับอำนาจหน้าที่หรือไม่
ไม่อยากให้สังคมมองว่าเกิดการแย่งงานระหว่างหน่วยงาน เพราะแต่ละหน่วยงานต่างมีหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการดูแลที่แตกต่างกัน ยอมรับว่า รู้สึกดีที่แต่ละองค์กรที่มีหน้าที่ได้เข้ามาช่วยกันพิจารณา เพราะสะท้อนว่า หน่วยงานราชการเห็นถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ถูกกระทำเป็นวงกว้าง หากแต่ละหน่วยงานนิ่งเฉยสิ่งนี้จะเป็นเรื่องไม่น่าสบายใจ จากนี้หากคดีอยู่ในความดูแลของดีเอสไอ และมีการร้องขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็พร้อมสนับสนุนช่วยเหลือ
— พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)
พร้อมยืนยันว่า พนักงานสอบสวนจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับการรับแจ้งความร้องทุกข์จากประชาชนผู้เสียหาย ในอนาคตเป็นไปได้ที่จะมีอีกหน่วยงานที่ช่วยรับเรื่องนอกจากที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ซึ่งจัดเป็นศูนย์รับแจ้งความอย่างไม่มีกำหนดเวลา
ปัจจุบันมีประชาชนแจ้งความจากกรณีดังกล่าวเข้าระบบแล้ว 1,100 ราย วันนี้คาดว่าจะมีเพิ่มเป็น 1,300 ราย เพราะแต่ละวันจะมีข้อมูลเข้าสู่ระบบที่ประมาณ 200-300 ราย
— พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)
ส่วนกรณีที่ปรากฏภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจใส่เครื่องแบบและให้ข้อมูลความรู้ในเชิงเป็น โค้ช ของบริษัทดิไอคอน กรุ๊ปนั้น ผบ.ตร. ยอมรับว่าเห็นภาพแล้ว และผู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการสอบสวนแล้ว จากนี้จะต้องพิสูจน์ทราบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจคนดังกล่าว มีสถานะเป็นโค้ช พรีเซนเตอร์ หรือเกี่ยวพันอะไรกับบริษัทดังกล่าวหรือไม่ และจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดอะไรหรือไม่
หากพบว่ากระทำผิดจริง จะต้องมีการลงโทษทั้งทางวินัยและอาญา เนื่องจากเป็นข้าราชการตำรวจ รวมทั้งจะต้องถามว่าตัวของตำรวจรายนี้เอาเวลาที่ไหนไปทำแบบนี้ กระทบต่อเวลาราชการ เบียดบังเวลาในการทำงานให้พี่น้องประชาชนหรือไม่
— พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)
ลามหนัก! ตั้งกรรมการสอบ ตร.เอี่ยว ‘ดิไอคอน กรุ๊ป’
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ ได้มีการแฉเครือข่าย ‘ดิไอคอน กรุ๊ป’ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นตำรวจ มีลักษณะเป็น ‘โค้ช’ โดยปรากฏคลิปใช้ผลิตภัณฑ์ของเครือข่ายดิไอคอนฯ นอกจากนี้ ยังมีภาพโปรโมทเตรียมไปท่องเที่ยวต่างประเทศ รวมทั้งได้รางวัลเป็นรถเบ๊นซ์ ซึ่งต่อมา ทราบว่า เป็นตำรวจยศ ‘สิบตำรวจเอก’ อยู่ที่ สภ.คลองหอยโข่ง จ.สงขลา
พ.ต.อ.ชาตรี รัตนคช ผู้กำกับการ สภ.คลองหอยโข่ง เปิดเผยว่า หลังทราบข่าวนายตำรวจคนดังกล่าวเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ก็ได้ทำการตรวจสอบ ซึ่งตำรวจนายดังกล่าวคือ ‘หมู่จักร’ รับราชการมาราว 6 ปีแล้ว
โดยเบื้องต้น ก่อนหน้านี้เจ้าตัวชอบขายของเป็นรายได้เสริม กระทั่งราวปี 2563 ได้พบธุรกิจเครือข่ายดังกล่าว จึงเข้าไปศึกษารายละเอียด ก่อนลองสั่งสินค้ามาขาย ทั้งการเปิดบิลเริ่มต้น 2,500 บาท 25,000 บาท ไปจนถึงระดับสูงที่ 250,00 บาท โดยเจ้าตัวเป็นคนสำรองจ่ายเงินไปเองทั้งหมด ไม่ได้มีการเรียกเก็บล่วงหน้าจากลูกทีม เหมือนกับบางทีมแต่อย่างใด
ส่วนเรื่องรถเบ็นซ์ ที่มีข่าวทางบริษัทมอบให้เป็นรางวัลนั้น จากการสอบถามทุกคนตั้งแต่ทำงานมา ไม่มีใครเคยเห็นเจ้าตัวขับรถเบนซ์
ขณะที่เรื่องทริปต่างประเทศ ได้รับแจ้งว่า เป็นการบินไปนาน 2-3 ปี แล้ว โดยเป็นแพ็กเกจที่พ่วงมากับการเปิดบิล 250,000 บาท ที่จะได้สิทธิ์ไปเที่ยวยุโรป
อย่างไรก็ตาม ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวแล้ว โดยมี พ.ต.ท.นพดล ดิเรกวัฒนสาร รองผู้กำกับการสอบสวน สภ.คลองหอยโข่ง เป็นประธานกรรมการ พร้อมด้วยนายตำรวจระดับสัญญาบัตรอีก 2 นาย โดยให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วเสร็จใน 7 วัน