สถานการณ์แผ่นดินไหวในทะเลอันดามันใกล้หมู่เกาะนิโคบาร์ ประเทศอินเดีย ยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด หลังจากกองเฝ้าระวังแผ่นดินไหวประเทศไทย รายงานเหตุการณ์แผ่นดินไหวต่อเนื่องหลายระลอกในช่วงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 โดยเฉพาะในพื้นที่แถบเอเชียใต้และหมู่เกาะนิโคบาร์ ซึ่งเกิดแรงสั่นสะเทือนขนาด 4.3-4.7 แมกนิจูด โดยจุดศูนย์กลางอยู่ลึกประมาณ 10 กิโลเมตร และห่างจากชายฝั่งจังหวัดพังงาเพียง 470 กิโลเมตร แรงสั่นสะเทือนบางจุดสามารถรับรู้ได้ในพื้นที่ชายฝั่งภาคใต้ของไทย
แม้แผ่นดินไหวดังกล่าวยังไม่ก่อให้เกิดความเสียหายโดยตรง แต่ถือเป็นสัญญาณเตือนภัยสำคัญ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นแนวภูเขาไฟใต้น้ำที่ยังคงมีพลัง (Active Volcanic arc) ซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องกับการเกิดสึนามิในอดีต ไม่ว่าจะเป็นในปี 2547 หรือการปะทุของภูเขาไฟในประเทศตองกาเมื่อปี 2022 ที่ก่อให้เกิดคลื่นสึนามิสูงถึง 20 เมตร

"อันดามัน" พื้นที่เสี่ยงที่ต้องเตรียมพร้อมมากที่สุด
การเฝ้าระวังในครั้งนี้เน้นไปยัง 6 จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน ได้แก่ ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล ซึ่งจัดอยู่ในเขตเสี่ยงหากเกิดคลื่นสึนามิจากภูเขาไฟใต้น้ำ โดยเฉพาะในบริเวณแนวหมู่เกาะอันดามัน-นิโคบาร์ ที่อยู่ในแนวเดียวกับเกาะภูเขาไฟ Barren ซึ่งยังคงปะทุเป็นระยะ ล่าสุดคือในปี 2022
แม้จุดที่เกิดการไหวในช่วงนี้จะไม่ใช่ที่เกาะ Barren โดยตรง แต่เป็นแนวภูเขาไฟเดียวกันที่จมอยู่ใต้น้ำในระดับความลึกมากกว่า 2,000 เมตร ซึ่งมีโอกาสที่แมกมากำลังเคลื่อนตัว หากเกิดการระเบิดรุนแรง มวลน้ำขนาดใหญ่จะถูกผลักออกในทันที กลายเป็นคลื่นสึนามิที่อาจเดินทางถึงชายฝั่งไทยได้ภายในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง หรือน้อยกว่านั้น ซึ่งเร็วกว่าช่วงสึนามิเมื่อปี 2547 ที่ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง 30 นาที

โอกาสเกิดสึนามิ ฝั่งอ่าวไทย-ฝั่งอันดามัน
ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และนักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม อธิบายว่า แผ่นดินไหวในเมียนมาร์เกิดบนแผ่นดินไกลทะเล ไม่เกี่ยวกับสึนามิ (แต่เราอาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวโดยตรง)
ส่วนสึนามิในอ่าวไทยเกิดยาก ถ้าเกิดจะมีขนาดเล็กมาก รู้ล่วงหน้านาน เพราะอยู่ห่างจุดเกิดแผ่นดินไหว/ภูเขาไฟระเบิด (อินโด/ฟิลิปปินส์)
เมื่อพูดถึงสึนามิ ที่ต้องระวังคือ ฝั่งทะเลอันดามัน จุดเกิดมี 2 แห่ง ในอินโด (จุดเดิมที่เคยเกิด) และแนวเกาะอันดามัน/นิโคบาร์ (แผ่นดินไหว ภูเขาไฟใต้น้ำ) ประเทศอินเดีย
เสียงเตือนภัยไม่ใช่เสียงตื่นตระหนก
ในการซ้อมแผนอพยพกรณีคลื่นสึนามิ C-MEX 25 เมื่อวันที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา หน่วยงานด้านภัยพิบัติได้ทดสอบระบบหอเตือนภัยทั้ง 6 จังหวัด โดยแบ่งเสียงเตือนออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ M2 ซึ่งใช้เมื่อเกิดแผ่นดินไหวในทะเล และ M3 สำหรับเตือนกรณีคลื่นสึนามิได้เกิดขึ้นจริง การเตรียมความพร้อมในระดับชุมชนและหน่วยงานท้องถิ่นถือเป็นหัวใจสำคัญในการลดความสูญเสียในอนาคต
ความเสี่ยงจากภูเขาไฟใต้น้ำในทะเลอันดามันแม้จะยังไม่สามารถชี้ชัดว่าจะระเบิดแน่นอนหรือไม่ แต่การเกิดแผ่นดินไหวถี่ๆ ในระดับเกิน 4 แมกนิจูด เป็นสิ่งที่นักธรณีวิทยาต้องจับตาอย่างใกล้ชิด พร้อมแนะนำว่าประชาชนไม่ควรตื่นตระหนก แต่ควรเตรียมตัวอย่างมีสติ ซักซ้อมกับครอบครัว และตรวจสอบเส้นทางอพยพให้พร้อมเสมอ
— ผศ.ดร.ธรณ์ ระบุ
สิ่งแวดล้อมคือเกราะธรรมชาติของเรา
นอกจากระบบเตือนภัยและการเตรียมพร้อมในระดับชุมชนแล้ว นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมยังเน้นว่า ความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมมีบทบาทสำคัญในการป้องกันภัยพิบัติระยะยาว ป่าชายเลน แนวปะการัง และเนินทรายธรรมชาติ ล้วนทำหน้าที่เป็น “แนวกันคลื่น” ตามธรรมชาติที่ช่วยลดความรุนแรงของคลื่นสึนามิอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น การอนุรักษ์ระบบนิเวศชายฝั่งจึงไม่เพียงเป็นเรื่องของการปกป้องธรรมชาติ แต่คือการปกป้องชีวิตมนุษย์

ในช่วงที่ข่าวลือและข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยันแพร่กระจายบนโซเชียลมีเดีย ผศ.ดร.ธรณ์ ยังได้เตือนประชาชนให้ใช้วิจารณญาณ ตรวจสอบข้อมูลกับแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น กรมอุตุนิยมวิทยา กรมทรัพยากรธรณี หรือศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และหลีกเลี่ยงการแชร์ข้อมูลที่อาจสร้างความตื่นตระหนกโดยไม่จำเป็น
สุดท้าย สถานการณ์แผ่นดินไหวในครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจว่า “ความยั่งยืน” ไม่ใช่เพียงเป้าหมายระยะยาวของสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่รวมถึงการเตรียมความพร้อมต่อภัยพิบัติอย่างรอบด้าน การวางแผนล่วงหน้า การสร้างความรู้ในระดับชุมชน และการสนับสนุนงานวิจัยด้านธรณีวิทยาและสมุทรศาสตร์ คือหนทางที่สังคมไทยจะสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนของโลกธรรมชาติได้อย่างมั่นคง