



‘วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์' ร่วมกับสมาคมวิชาชีพ ได้จัดงานแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริง ภายหลังโลกโซเชียลมีการพูดถึง กรณีการใช้งานเหล็กข้ออ้อย ตาม มอก. 24-2559 นำโดย ‘รองศาสตราจารย์ ดร.สมิตร ส่งพิริยะกิจ’ ประธานสาขาวิศวกรรมโยธา วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ‘กฤษดา จันทร์จำรัสแสง’ อุปนายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ‘นพดล ใจซื่อ’ อุปนายกวิชาการสมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย โดยวงแถลงข่าว มีการพูด 5 ปัจจัย สรุปได้ดังนี้
1. ชั้นคุณภาพของเหล็กข้ออ้อยตาม มอก. 24-2559 มี 3 ชั้นคุณภาพ คือ SD30 SD40 และ SD50 แต่ละชั้นคุณภาพมีคุณสมบัติทางเคมี และทางกลต่างกัน ส่วนเครื่องหมาย ‘T' ไม่ได้เป็นสาระสำคัญของชั้นคุณภาพ เครื่องหมาย ‘T’ ถูกพูดถึงในหัวข้อ ‘ฉลากและเครื่องหมาย’ เพียงเพื่อระบุวิธีการผลิตเท่านั้น เกณฑ์การยอมรับ เกณฑ์ชักตัวอย่าง และเกณฑ์การทดสอบต่าง ๆ ของเหล็กข้ออ้อย SD30 และ SD30T จะต้องผ่านเกณฑ์การทดสอบแบบเดียวกันทุกประการ เช่นเดียวกับเหล็กข้ออ้อย SD40 และ SD40T รวมถึง SD50 และ SD50T ไม่มีข้อยกเว้น
ดังนั้นการระบุในแบบและรายการประกอบแบบเรื่องให้ใช้เหล็กข้ออ้อยชั้นคุณภาพ SD40 หรือ SD50 จึงเป็นเรื่องปกติ เพราะไม่มีชั้นคุณภาพ SD40T และ SD50T ตาม มอก 24-2559 การยินยอมให้ใช้เหล็กข้ออ้อย SD40T หรือ SD50T ในโครงการก่อสร้างจึงไม่ใช่การ ‘ลดสเป็ก’ แต่อย่างใด เพราะเครื่องหมาย 'T' ไม่ใช่เครื่องหมายระบุชั้นคุณภาพ หากหน่วยงานก่อสร้างใดมีความประสงค์จะไม่ให้ใช้เหล็กข้ออ้อยที่ผลิตโดยกรรมวิธีที่มีเครื่องหมาย ‘T’ ควรต้องระบุในแบบและรายการประกอบแบบให้ชัดเจน
2. เหล็ก ‘T’ มีราคาถูกกว่าเหล็กปกติเป็นที่รับรู้ในวงการก่อสร้างทุกภาคส่วนมาตั้งแต่ปี 2548 หรือ 20 ปีแล้ว ราคาวัสดุก่อสร้างจำพวกเหล็กชนิดต่าง ๆ ได้รับการรับรู้แพร่หลาย และราคาการประมูลงานสะท้อนข้อเท็จจริงนี้มานานแล้ว ในการประมูลงานภาคเอกชนและภาครัฐ เป็นเรื่องปกติที่ผู้ประสงค์จะยื่นประมูลจะสอบถามผู้ว่าจ้างก่อนว่ายินยอมให้ใช้ เหล็ก ‘T’ หรือไม่ จึงจะคำนวณราคาตามข้อกำหนดนั้น ๆ อย่างไรก็ตามผู้ควบคุมงานก่อสร้าง ‘มักจะ’ อนุญาตให้ใช้เหล็ก ‘T’ ได้เสมอ เพื่อลดค่าใช้จ่าย (ของเจ้าของงาน) แต่ยังได้คุณสมบัติเหล็กตามคุณภาพที่ต้องการ
3. เหล็กที่กำลังสูงขึ้น จะมีความแข็งมากขึ้น และมีความสามารถในการดัดโค้งน้อยลง เช่นเหล็ก SD50 จะมีโอกาสแตกร้าวขณะดัดโค้งมากกว่า SD40 และด้วยกระบวนการผลิตแบบ ‘T’ ทำให้ผิวของเปลือกนอกของเหล็กข้ออ้อยแข็งกว่าเหล็กด้านในแกนกลาง จึงทำให้ผิวด้านนอกเสี่ยงต่อการแตกร้าวหากถูกดัดงอมากขึ้น ซึ่ง มอก 24-2559 กำหนดการทดสอบความสามารถในการดัดโค้งไว้ในเกณฑ์มาตรฐานของเหล็กทั้งสองชนิด ไม่แตกต่างกัน เรื่องนี้เป็นที่ทราบดี วิศวกรจึงหลีกเลี่ยงการดัดงอเหล็กข้ออ้อยที่มีกำลังสูง SD50 และ SD50T ด้วยรัศมีน้อย ๆ ทั้งสองชนิด แล้วเลือกใช้เหล็ก SD40 หรือ SD40T ที่มีความสามารถในการดัดโค้งมากกว่าแทน เช่นในการทำเหล็กปลอก
4. การล้า (fatigue) ไม่ได้อยู่ในรายการทดสอบตาม มอก. 24-2559 ทุกชั้นคุณภาพ และไม่ได้อยู่ในรายการมาตรฐานทดสอบเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตสำหรับก่อสร้างทั่วโลก ทั้งนี้แรงเค้นที่เกิดขึ้นในเหล็กเสริมคอนกรีตขณะใช้งานปกติมีค่าต่ำกว่ากำลังระบุมากเช่น เหล็ก SD50T อาจจะมีความเค้นใช้งานปกติประมาณ 150-250 MPa เมื่อเทียบกับกำลังครากประมาณ 490 MPa โอกาสที่โครงสร้างปกติจะรับน้ำหนักกระทำซ้ำที่ความเค้นสูง กลับไปมาจนวิบัติจากความล้ามีน้อยมากตลอดอายุการใช้งานของอาคาร ความกังวลใจในเรื่องการล้าเกิดขึ้นกับวัสดุก่อสร้างชนิดอื่นและจำเป็นต้องมีการทดสอบเช่น ลวดอัดแรง เป็นต้น
5. วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ ยังไม่มีข้อมูลเรื่องคุณภาพเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตที่ผลิตจากเตา IF ว่ามีคุณภาพสม่ำเสมอหรือไม่ วิศกรผู้ควบคุมงานควรชักตัวอย่าง ทดสอบตามมาตฐาน อย่างเคร่งครัดและครบถ้วน ทุกครั้งก่อนอนุญาตให้นำไปใช้งาน ด้วยเหตุผลที่ได้กล่าวมาข้างต้น เหล็ก SD30T SD40T และ SD50T สามารถใช้ในงานอาคารสูงได้ โดยไม่ต้องการออกแบบใด ๆ เพิ่มเติม แต่ยังคงต้องควบคุมคุณภาพในการก่อสร้างเช่นเดียวกับการใช้เหล็ก SD30 SD40 และ SD50
โดยสรุปวงแถลงข่าวจากสมาคมวิชาชีพมองว่า เหล็กที่ใช้ก่อสร้างอาคาร สตง.แห่งใหม่ ที่ทางกลุ่มนำมาตรวจสอบ พบว่ามีบางส่วนไม่ผ่านตามมาตรฐาน แต่โดยทั่วไปเหล็กจำนวนร้อยละ 90 ได้มาตรฐานการก่อสร้าง นอกจากนี้ยังมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ในกรณีที่ตึก สตง.แห่งใหม่ถล่มนั้น เชื่อว่าเหล็กไม่ใช่สาเหตุหลัก แต่ก็ไม่ทราบว่าเป็นปัจจัยด้านไหน