ประเด็นเรื่อง ‘การขนย้ายกากแร่แคดเมียม’ ซึ่งเป็นสารอันตรายออกจากบ่อฝังกลบในพื้นที่ จ.ตาก กว่า 15,000 ตัน มากระจายเก็บรักษาไว้ในที่ จ.สมุทรสาคร , จ.ชลบุรี และกรุงเทพฯ ยังคงเป็นเรื่องที่กระทรวงอุตสาหรรมต้องเร่งหาทางจัดการกับกากแร่แคดเมียมที่กระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ขณะที่ ตำรวจ บก.ปทส. อยู่ระหว่างการตรวจสอบเอาผิดกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการขนย้ายกากแร่แคดเมียมโดยมิชอบ
ล่าสุดวันนี้ (18 เม.ย.) ที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) มีความเคลื่อนไหวจาก ‘เจษฎา เก่งรุ่งเรืองชัย’ กรรมการ บริษัท เจ แอนด์ บี เมททอล จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของโกดังซุกกากแคดเมียม ได้เดินทางมาให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน ตามหมายเรียกครั้งที่ 2 หลังจากขอเลื่อนมาแล้ว 1 ครั้ง เนื่องจากเจษฎาอ้างว่าติดธุระที่ต่างจังหวัด โดยมีภรรยาและทนายความเดินทางมาด้วย
หลังเข้าพบพนักงานสอบสวน ‘เจษฎา’ ได้แถลงข่าวเปิดใจกับสื่อว่า พร้อมอธิบายว่า ตัวเองได้ทำสัญญาเพื่อซื้อแร่สังกะสีจาก ‘บริษัท เบาด์ แอนด์ บียอนด์ จำกัด’ โดยตั้งใจซื้อแร่สังกะสีไปทำกำไรต่อ เพราะแร่สังกะสีขายได้กิโลกรัมละ 300 กว่าบาท แต่ปกติแล้วในแร่สังกะสีจะมีกากแร่แคดเมียมปะปนอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว อีกทั้งโรงงานต้นทางก็ทำธุรกิจเกี่ยวกับการถลุงเเร่สังกะสีอยู่แล้ว และมีการฝังกลบกากแร่สังกะสีไว้ในบ่อ พร้อมโรยปูนขาวและปูนพอตแลนต์ลงไปด้วย เพื่อปรับสภาพความเข้มข้นของกากแร่แคดเมียมให้ลดลง
ส่วนกากแร่สังกะสีที่ ‘เจษฎา’ ครอบครองมี ทั้งหมด 13,800 ตัน ในจำนวนนี้มีกากแร่แคดเมียมผสมอยู่เพียง 38% เท่านั้น และจากการนำแร่ในโรงงานที่ซื้อมาไปทดสอบกับกรมวิทยาศาสตร์ พบว่ากากแร่แคดเมียมที่ตัวเองครอบครอง ไม่ใช่แคดเมียมบริสุทธิ์ เป็นเพียงกากแร่แคดเมียมผสมเท่านั้น และมีความเข้มข้นในระดับที่ไม่กระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ พร้อมตำหนิสื่อที่นำเสนอข่าวในทำนองว่ากากแร่แคดเมียมที่พบในโกดังของตัวเองอันตรายและรุนแรงกว่าความเป็นจริง ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นอย่างมาก
ส่วนประเด็นที่คนในโรงงานและคนรอบโรงงานบอกว่าได้รับผลกระทบต่อสุขภาพ ‘เจษฎา’ เชื่อว่าไม่ได้เกิดจากกากเเร่แคดเมียมที่ตัวเองครอบครองอยู่ เพราะผลตรวจจากกรมวิทยาศาสตร์ชัดเจนว่ากากแร่ของเขาไม่อันตราย พร้อมขอให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบโรงงานบริเวณโดยรอบๆ ด้วย เพื่อหาหลักฐานมายืนยันว่าผลกระทบที่เกิดขึ้น มาจากกากแร่ที่เขาครอบครองอยู่จริงหรือไม่
‘เจษฎา’ ยังชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดที่ได้ทำสัญญาไว้กับ ‘บริษัท เบาด์ แอนด์ บียอนด์ จำกัด’ ที่ระบุว่าเป็นซื้อเพื่อนำไปกำจัด แต่เหตุใดถึงมีการนำไปขายต่ออีกทอด โดย ‘เจษฎา’ ยอมรับว่าเนื่องจากหมุนเงินไม่ทัน และขาดสภาพคล่องจึงจำเป็นต้องนำกากแร่บางส่วนออกไปขาย ส่วนปริมาณกากแร่ที่นำมาตอนแรกหนัก 13,800 ตัน แต่กลับพบเพียง 12,000 ตันนั้น เป็นเพราะกากแร่ที่ขุดขึ้นมามีความชื้นและมีลักษณะเปียก ดังนั้นความชื้นลดลงปริมาณน้ำหนักจึงลดลง พร้อมยอมรับว่าตัวเองผิดสัญญาที่ซื้อมาเพื่อกำจัด เเต่กลับนำไปขายต่อในเอกชนรายอื่น
แต่กระบวนการประมูลและการขออนุญาตขนย้ายกากแร่จาก จ.ตาก มาพักเก็บที่ จ.สมุทรสาคร รวมถึงการยื่นขอจดใบประกอบกิจการของบริษัท ‘เจษฎา’ ยืนยันว่าทำถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง ยืนยันเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่มีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่มีใครมาเป็นที่ปรึกษา ไม่เกี่ยวกับเรื่องทุนจีนสีเทา และไม่ได้เป็นนอมินีให้ใคร
‘เจษฎา’ ยังเชื่อว่าตัวเองถูกหลอกและโดนลอยแพจากบริษัทต้นทาง เพราะจากสัญญาซื้อขายที่ทำร่วมกันในรายละเอียดเรื่องการรับผิดชอบต่างๆ มีการเขียนลักษณะผูกมัดให้ตัวเองเป็นผู้รับผิดชอบเพียงผู้เดียว ส่วนเหตุผลที่ยอมเซ็นสัญญาด้วย เเม้จะเห็นความผิดปกติ ยอมรับเป็นเพราะมองเเค่เรื่องกำไรที่จะได้ และหลังเกิดเรื่องขึ้น ยอมรับเตรียมดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากบริษัทต้นทางฐานทำให้เสื่อมเสีย
อีกประเด็นที่ถูกถามถึง คือเรื่องการเตรียมขนย้ายกากแร่ออกไปยัง สปป.ลาว ‘เจษฎา’ มองว่าหากนำไปขายที่ลาวจะขายได้ในราคาที่แพงกว่าที่ขายให้ ‘นายจาง’ เพราะเดิมราคาอยู่ที่ 1.25 บาท/กิโลกรัม แต่หากขายให้บริษัทที่ลาวจะขายได้ราคา 8.25 บาท/กิโลกรัม และเรื่องนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการขออนุญาตจากกระทรวงอุตสาหกรรม ส่วนกากแร่บางส่วนที่เขาครอบครองอยู่ได้นำไปหลอมบางแล้ว แต่ยังไม่เยอะมาก
ขณะที่ ‘พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธิ์’ ผบก.ปทส. เปิดเผยว่า จากการสอบปากคำเบื้องต้น ‘เจษฎา’ เปิดเผยว่า ได้ทำสัญญาซื้อขายกากแร่กับ ‘บริษัท เบาด์ แอนด์ บียอนด์ จำกัด’ โดยให้ราคาตามน้ำหนักกิโลกรัมละ 1.25 บาท
ยืนยันว่า การที่ ‘บริษัท เจ แอนด์ บี เมททอล จำกัด’ นำไปขายต่อถือว่าผิดวัตถุประสงค์ในสัญญาซื้อขายเพราะบริษัทมีใบอนุญาตกำจัด และสัญญาซื้อขายระบุว่าซื้อมากำจัด โดยเจษฎาให้ดูรูปยืนยันว่ามีเครื่องมือในการกำจัด แต่ตอนนี้เครื่องมือดังกล่าวอยู่ระหว่างการซ่อมแซมทำให้ไม่สามารถกำจัดได้
ดังนั้นพนักงานสอบสวนต้องไปตรวจสอบว่าเครื่องจักรเพิ่มเติม เชื่อว่าวัตถุประสงค์ที่ซื้อมาจาก บริษัท เบาด์ แอนด์ บียอนด์ จำกัด เป็นซื้อมาเพื่อขายต่อมากกว่ากำจัดกันแน่
ส่วนที่ บริษัท เบาด์ แอนด์ บียอนด์ จำกัด ต้องนำกากแร่ไปฝากโกดังอื่นๆ ที่ไปตรวจพบก่อนหน้านี้เจษฎา ให้การว่าที่จัดเก็บของตัวเองไม่เพียงพอจึงต้องนำไปจัดเก็บที่อื่น ส่วนจะมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่จำเป็นที่ต้องสอบในทางลึกอีกที
นอกจากนี้ ‘พล.ต.ต.วัชรินทร์’ ยังบอกว่า ‘เจษฎา’ ยืนยันว่าการขนกากแคดเมียมไม่มีการจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่รัฐ ส่วนกระแสข่าวที่ว่าเจ้าหน้าที่รัฐระดับรองอธิบดีเกี่ยวข้องตอนนี้ยังไม่มีข้อมูล ส่วนการกล่าวหาใครต้องมีข้อมูลที่ชัดเจน
ส่วนกรณีกระทรวงการคลังถือหุ้นใน ‘บริษัท เบาด์ แอนด์ บียอนด์’ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ‘บริษัท เบาด์ แอนด์ บียอนด์’ ไม่มีความผิดนั้นจะเกิดข้อครหาหรือไม่ ‘พล.ต.ต.วัชรินทร์’ ชี้แจงว่าเรื่องนี้มีหนังสือไปถึงอุตสาหกรรมจังหวัดตาก ให้พิจารณาว่า ‘บริษัท เบาด์ แอนด์ บียอนด์’ มีความผิดอะไรบ้าง หากพบความผิดให้อุตสาหกรรมจังหวัดตากเป็นผู้ร้องทุกข์ กับพนักงานสอบสวน บก.ปทส. เนื่องจากตอนนี้ ‘บริษัท เบาด์ แอนด์ บียอนด์’ ยังไม่มีความผิดทางอาญาทำให้พนักงานสอบสวนยังไม่สามารถดำเนินการได้
ส่วนจะต้องเขิญ ‘ส.ก.ก้าวไกล’ มาให้ข้อมูลหรือไม่ ‘พล.ต.ต.วัชรินทร์’ บอกว่าแม้จะเป็นญาติจริงแต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีนี้และเจษฎาบอกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและห่างกันมานานแล้ว