ย้อนคดี ‘น้องชมพู่’ ก่อนศาลตัดสิน ‘ลุงพล’ ธ.ค.นี้

30 ต.ค. 2566 - 09:02

  • ย้อนมหากาพย์คดี ‘น้องชมพู่’ เเห่งบ้านกกกอก ก่อนศาลตัดสิน ‘ลุงพล-ป้าแต๋น’ ธ.ค. 66

looking_back_case_nong_chompoo_before_the_court_judges_uncle_phon_SPACEBAR_Hero_5c70dcd8f5.jpg

ใกล้ถึงบทสรุปแล้ว สำหรับมหากาพย์คดี ‘น้องชมพู่’ เเห่งบ้านกกกอก ตำบลกกตูม อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร เด็กหญิงวัย 3 ขวบ ที่หายตัวไปจากบ้านอย่างเป็นปริศนา ก่อนถูกพบเป็นศพเปลือยกาย และมีร่องรอยคล้ายถูกหนามเกี่ยวบริเวณเเขนและขา อยู่บนภูเหล็กไฟ เขตอุทยานแห่งชาติภูผายล โดยจุดที่พบร่างของน้องชมพู่ พบว่าห่างจากบ้านของน้องประมาณ 2 กิโลเมตร  

แต่ด้วยสภาพพื้นที่บนภูเหล็กไฟ ที่มีลักษณะเป็นพื้นที่ค่อนข้างสูงชัน มีโขดหินและต้นไม้ใบหญ้าขึ้นรกทึบ จึงทำให้หลายคนเชื่อว่า ‘น้องชมพู่’ ไม่สามารถเดินขึ้นไปเองคนเดียวได้ ต้องมีคนพาไป ประกอบกับกางเกงของน้องชมพู่ที่ถูกถอดวางอยู่ใกล้ๆ บริเวณศพ พบว่ามีลักษณะค่อนข้างเป็นระเบียบ ไม่น่าใช่ฝีมือของเด็กวัย 3 ขวบที่ถอดเอง คดีนี้จึงยิ่งเต็มไปด้วยปริศนาว่า ใครคือคนที่พาน้องชมพู่ขึ้นไปบนภูเหล็กไฟ แต่คดีนี้ใกล้ถึงข้อสรุปแล้ว เมื่อศาลจังหวัดมุกดาหาร นัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ในวันที่ ตุลาคม 2566 ก่อนจะเลื่อนไปเป็นช่วงปลายเดือธันวาคม 2566 เนื่องจากคำร่างพิพากษายังเสร็จ  

สเปซบาร์จึงอยากชวนคุณผู้อ่านย้อนเหตุการณ์โศกนาฏกรรมน้องชมพู่ ปฐมบทแรกเริ่มของการนำมาสู่มหากาพย์ที่กินเวลากว่า 3 ปี 5 เดือน คดีที่สะเทือนวงการสื่อ หลัง 1 ในผู้ต้องสงสัยถูกปั้นให้กลายเป็นอินฟลูเอนเซอร์ จากเหตุการเสียชีวิตของหนูน้อยวัย 3 ขวบ  

— จุดเริ่มต้นคดีน้องชมพู่ —  

11 พ.ค. 63  

น้องชมพู่ วัย 3 ขวบ หายออกจากบ้าน ช่วงเวลาประมาณ 09.00 น.  

12-13 พ.ค. 63  

ครอบครัวน้องชมพู่ คนในพื้นที่และเจ้าหน้าที่ กว่า 50 นาย ระดมกำลังค้นหา ในรัศมี 5 กม.จากตัวบ้าน แต่ไม่พบ  

14 พ.ค. 63  

ช่วงบ่ายมีผู้พบเบาะแสเป็นร้องเท้าเด็ก อยู่กลางป่าบนภูเหล็กไฟ ต่อมาช่วงค่ำ ชาวบ้านพบร่างของน้องชมพู่ในสภาพเปลือยกาย  

15 พ.ค. 63  

แพทย์นิติเวช รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี เผยผลชันสูตรศพน้องชมพู่ (ครั้งแรก) มีเพียงร่องรอยขีดข่วน ที่อาจเกิดจากกิ่งไม้ ไม่มีร่องรอยการถูกทำร้าย อวัยวะเพศไม่พบร่องรอยที่เกิดจากการถูกล่วงละเมิด เยื่อพรหมจรรย์ยังอยู่ครบสมบูรณ์ แพทย์สันนิษฐาน มีความเป็นไปได้ที่เด็กจะพลัดหลงป่าจนขาดอาหารและน้ำ 

17 พ.ค. 63  

ครอบครัวน้องชมพู่ ส่งศพน้องชมพู่ให้แพทย์นิติเวช รพ.ตำรวจ ชันสูตร ครั้งที่ 2  

18 พ.ค. 63  

รพ.ตำรวจ เผยผลชันสูตรน้องชมพู่ (ครั้งที่ 2) ไม่ปรากฏสาเหตุการเสียชีวิต แต่พบบาดแผลตามร่างกายและอวัยวะเพศ โดยบาดแผลที่อวัยวะเพศไม่ได้เกิดจากการร่วมเพศ แต่เกิดจากการกระแทกด้วยของแข็ง ทำให้เกิดบาดแผล ไม่พบอสุจิ หรือสารคัดหลั่งแฝงในร่างกาย ร่างกายขาดน้ำและอาหารก่อนเสียชีวิต 

19 พ.ค. 63  

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. ลงพื้นติดตามความคืบหน้าคดี และสำรวจเส้นทางที่น้องชมพู่หายตัวไป  

20 พ.ค. 63 

ครอบครัวน้องชมพู่ จัดพิธีฌาปนกิจศพน้องชมพู่ ณ ป่าช้าบ้านกกกอก 

25 พ.ค. 63  

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. เผยคดีนี้มีความคืบหน้าไปแล้ว 70% 

ขณะที่คดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่เริ่มได้รับความสนใจจากผู้ที่ติดตามข่าวนี้เป็นจำนวนมาก หลายคนเชื่อว่า ‘ลุงพล’ เป็นผู้ที่ทำให้น้องชมพู่เสียชีวิต และบางส่วนมองว่า ‘พ่อแม่’ ของน้องชมพู่มีพิรุธ  

25 มิ.ย. 63  

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. แถลงคืบหน้าคดีน้องชมพู่ ยืนยันผู้ต้องสงสัยมีหลายราย และตำรวจทำงานอย่างเต็มที่ 

9 ก.ค. 63  

รายการโหนกระแส ลงพื้นที่สัมภาษณ์สด ‘ลุงพล-ป๋าแต๋น’ ต่อมา แฮชแท็ก #น้องชมพู่ พุ่งติดเทรนด์อันดับ 1 ของทวิตเตอร์ประเทศไทย 

2 ต.ค. 63 

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แถลงสรุปคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ คดีคืบหน้า 99% ชี้ข้อมูลที่มีชัดเจนว่า น้องชมพู่ไม่สามารถขึ้นไปบนภูเหล็กไฟได้ด้วยตัวเอง มั่นใจมีผู้พาน้องชมพู่ขึ้นไป และทำให้ถึงแก่ความตายไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม 

ช่วง ม.ค. ปี 64  

ตำรวจชุดคลี่คลายคดีน้องชมพู่ เชิญครอบครัวน้องชมพู่ ลุงพล ป้าแต๋น และคนในบ้านกกกอก เข้าเครื่องจับเท็จ 

9 พ.ค. 64  

ตำรวจ เปิดเผย รู้ตัวผู้ก่อเหตุ พบเส้นผม 3 เส้น เป็นหลักฐานและเตรียมขอหมายจับ 

1 มิ.ย. 64  

ศาลจังหวัดมุกดาหารออกหมายจับลุงพล แต่ต่อมาศาลให้ประกันตัว  

27 ก.ค. 66 

ศาลจังหวัดมุกดาหาร นัดฟังคำพิพากษา ในวันที่ 31 ต.ค.66 เวลา 10.00 น. 

30 ต.ค. 66  

ศาลจังหวัดมุกดาหาร เลื่อนอ่านคำพิพากษาไปเป็นช่วงปลายเดือนธันวาคม ปี 2566 เนื่องจากอยู่ระหว่างการตรวจร่างคำพิพากษา  

— ส่องข้อหา ‘ลุงพล-ป้าแต๋น’ —  

สำหรับคดีที่ศาลจังหวัดมุกดาหาร นัดอ่านคำพิพากษาครั้งนี้ มีที่มาจากการที่ พนักงานอัยการจังหวัดมุกดาหาร เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ‘ไชย์พล วิภา’ หรือ ‘ลุงพล’ ในฐานความผิด ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา , พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดาผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลโดยปราศจากเหตุอันสมควร, ทอดทิ้งเด็กอายุยังไม่เกิน 9 ปีไว้ ณ ที่ใดเพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตนโดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแลเป็นเหตุให้ผู้ถูกทอดทิ้งถึงแก่ความตาย, ร่วมกันกระทำการใดๆ แก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นในประการที่น่าจะทําให้การชันสูตรพลิกศพ หรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป 

และยื่นฟ้อง ‘สมพร หลาบโพธิ์’ หรือ ‘ป้าแต๋น’ ภรรยาของลุงพล ในฐานความผิดร่วมกันกระทำการใดๆ แก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพ หรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป 

เมื่อผู้ต้องสงสัยกลายเป็นอินฟลูฯ —  

คดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ ยังนำมาซึ่งการตั้งคำถามถึงการทำงานของสื่อบางสำนัก ที่นำเสนอข่าวนี้ด้วยการแตกประเด็นและเกาะติดบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นเวลาหลายเดือน คล้ายกับการติดตามรายการเรียลลิตี้ และสร้างตัวตนใหม่ให้กับบุคคลที่ปรากฎเป็นข่าว โดยเฉพาะ ‘ลุงพล-ป้าแต๋น’ ที่กลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง มีกองทัพยูทูบเบอร์เป็นของตัวเอง และมีกลุ่มแฟนคลับที่โอนเงินมาให้จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอยู่ช่วงหนึ่ง ถึงขึ้นมีคนติด #แบนลุงพล ขึ้นมา  

ไม่เพียงเท่านี้การนำเสนอข่าวลักษณะเรียลลิตี้ ยังถูกวิจารณ์ว่าเป็นการทำลายน้ำหนักและพยานหลักฐานในคดีนี้ และต่อมามีหัวหน้าช่างภาพของสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งที่ติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องได้ประกาศลาออก โดยระบุเหตุผลว่ารับไม่ได้กับสิ่งที่ได้รับมอบหมายให้ตามติดชีวิตลุงพล  

แต่แม้จะมีเรื่องดราม่า แต่กระแสลุงพลยังคงแรงอยู่ช่วงหนึ่ง จนถึงขั้นได้ออกเพลงคู่กับนักร้องเสียงอีสานชื่อดัง ‘จินตหรา พูนลาภ’ จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคมมาแล้วเช่นกัน ขณะที่ฐานะของ ‘ลุงพล-ป้าแต๋น’ พบว่าดีขึ้นเรื่อยๆ ภายในระยะเวลาอันสั้น โดยส่วนหนึ่งจากเงินสนับสนุนของเอฟซี และการขายของต่างๆ จนสามารถปลูกบ้านใหม่และสร้างวังพญานาคของตัวเองได้ รวมถึงมีเอฟซีจากพื้นที่ต่างๆ ขับรถมาหาลุงพลถึงบ้านที่จังหวัดมุกดาหาร เพื่อมาดูลุงพลโดยเฉพาะ  

ด้าน พ่อแม่ของน้องชมพู่เอง ก็มีกลุ่มแฟนคลับของตัวเองอีกจำนวนหนึ่ง ที่เข้ามาสนับสนุนการขายผ้าทอพื้นเมืองของเธอจนทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น  

— บทสรุปคดีน้องชมพู่ — 

สำหรับบทสรุปของคดีนี้จะเป็นอย่างไรคงต้องติดตามกันต่อไป เพราะตอนนี้คดีดังกล่าวยังอยู่ในศาลชั้นต้น หมายความว่าหากศาลพิพากษาว่า ‘ลุงพลและป้าเเต๋น’ มีความผิดจริง ทั้งคู่ยังมีสิทธิที่จะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้ แต่ที่น่าติดตามคือตำรวจจะมีพยานและหลักฐานมาเพียงพอที่จะไขปริศนาคดีการเสียชีวิตของเด็กน้อยวัย 3 ขวบ ที่เฝ้ารอวันที่ความจริงจะปรากฎได้มาน้อยเพียงใด และพยานหลักฐานที่มีจะทำให้สังคมหายแคลงใจกับข้อครหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้หรือไม่ ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องติดตามกันต่อไป  

อ้างอิง : อมรินทร์ทีวี , ไทยรัฐทีวี , พีพีทีวี , ไทยพีบีเอส , ข่าวสด

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์