‘บิ๊กโจ๊ก’ ฟ้อง ‘นายกฯ’ ผิด 157 ลั่นต้องสู้เพื่อตัวเอง มั่นใจยังไงก็ได้กลับมา

22 เมษายน 2567 - 06:42

nacc-surachate-hakparn-leaked-documents-srettha-SPACEBAR-Hero.jpg
  • ‘บิ๊กโจ๊ก’ ดับเครื่องชน ร้อง ป.ป.ช.เอาผิดคณะพนักงานสอบสวน-ฟ้อง ‘เศรษฐา’ ผิด ม.157 เซ่นปมให้ออกจากราชการ

  • เชื่อถูกกลั่นแกล้ง ลั่นต้องสู้เพื่อตัวเอง มั่นใจยังไงก็ได้กลับมา ยันไม่ได้ปล่อยเอกสารหลุด ไม่ตอบคุย ‘บิ๊กป้อม’ ก่อนมีชื่อโผล่เป็นพยานหรือไม่

  • เตือนตั้งตัวรับให้ทัน จ่อแฉเพิ่มเร็วๆ นี้ ไม่ปิดทาง ‘การเมือง’ หากเส้นทางตำรวจปิดตาย

วันนี้ (22 เม.ย.) ที่สำนักงาน ป.ป.ช. สนามบินน้ำ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางมายื่นหนังสื่อร้องเรียนต่อ ป.ป.ป.ช. เพื่อขอให้ตรวจสอบเอาผิด เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ (ม.157) และเอาผิดคณะพนักงานสอบสวนทั้งหมดที่ทำคดีของตัวเอง กรณีปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีอำนาจ 

ในส่วนของการเอาผิดนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อธิบายว่า สื่บเนื่องจาก นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและเรียกให้ไปช่วยราชการที่ทำเนียบ เป็นเวลา 60 วัน แต่อยู่ๆ กลับมีการส่งตนกลับสำนักงานตำรวจเเห่งชาติ และต่อมารักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีคำสั่งให้ตนออกจากราชการ สิ่งที่เกิดขึ้นเชื่อว่าเป็นการกลั่นแกล้งตน เพื่อขัดขว้างไม่ให้เป็น ผบ.ตร.

S__42427016.jpg

นอกจากยื่นหนังสื่อแล้ว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังเตรียมอุปกรณ์และแผ่นกระดาษขนาดใหญ่ มาอธิบายเรื่องโครงสร้างอำนาจ หน้าที่ และขอบเขต การสอบสวนในองค์กรต่างๆ เพื่อชี้ให้เห็นว่า คณะพนักงานสอบสวนที่ทำคดีของเขา กระทำการโดยไม่มีอำนาจ ซึ่งถือเป็นความผิดทางอาญาและมีโทษถึงขั้นจำคุก 

ย้ำว่าคดีที่เกิดขึ้น เป็นความผิดเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐ ป.ป.ช. ต้องเป็นผู้ตรวจสอบ ไม่ใช่ตำรวจ รวมถึงคดีที่เกี่ยวกับการฟอกเงิน หากเกิน 300 ล้านบาท ต้องเป็นหน้าที่ของ DSI ไม่ใช่ตำรวจ และแม้ตำรวจจะอ้างว่าคดีที่ทำไม่มีวงเงินไม่เกิน 300 ล้านบาท แต่ในสำนวนที่ส่งให้ ป.ป.ช. พบว่ามีวงเงินความเสียหาย 490 ล้านบาท 

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังบอกว่า วันนี้ต้องต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของตัวเอง หลังถูกดำเนินการต่างๆ อย่างไม่เป็นธรรมในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา สิ่งที่เกิดขึ้นเชื่อว่าประชาชนได้เห็นแล้วว่ามีการดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม  ดังนั้นเมื่อไม่เป็นธรรม มีการดำเนินคดีทางวินัย ถึงขั้นให้ออกจากราชการไว้ก่อน จึงต้องใช้สิทธิ์ในการต่อสู้ บนโต๊ะ บนกติกาของความเป็นธรรม

“ผมไม่กังวล ผมเชื่อมั่นว่ายังไงผมก็ได้กลับมา”

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เชื่อว่าตัวเองถูกกลั่นแกล้ง โดยอีกฝ่ายมีขบวนการแบ่งงานกันทำ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ที่ผ่านมาตัวเองทำหนังสือขอความเป็นธรรมมาโดยตลอด แต่หลังจากที่มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน(18 เม.ย.) 1 วันหลังจากนั้น คณะพนักงานสอบสวนส่งสำนวนให้กับ ป.ป.ช. (19 เม.ย.) มองว่าถ้ามีการส่งสำนวนให้ ป.ป.ช. ตั้งแต่แรกตัวเองคงจะอยู่ในฐานะผู้บริสุทธิ์ จนกว่าคณะกรรมการจะชี้มูล และคดีจะเป็นที่สิ้นสุด ซึ่งตามกฎหมายจะไม่สามารถแต่งตั้งหรือโยก ย้ายได้

“ถ้าสอบสวนอย่างเป็นธรรม แล้วผมผิดจริงผมออกเลย เพราะถ้าเป็นคนอื่นคงหมอบไปแล้ว”

ส่วนเรื่องการสอบวินัย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์  บอกว่าเตรียมตัวต่อสู้ไว้แล้ว โดยจะยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม และจะแถลงข่าวเพิ่มเติมเร็วๆ นี้ เพื่ออธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัยโดยมิชอบ และเชื่อว่าสิ่งที่จะแถลงสื่อต้องตกใจอย่างแน่นอน

“ผมออกจากราชการแล้ว มีเวลาในการเตรียมตัวสู้คดีเยอะ หลังจากนี้เตรียมตั้งรับให้ทันแล้วกัน”

ส่วนหนังสือคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของหนึ่งใน กรรมการ ป.ป.ช. ที่ปรากฏสู่สาธารณะ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บอกว่า สื่อคงเห็นรายละเอียดอยู่แล้ว จึงขอไม่พูดถึง ยืนยันไม่ได้เป็นคนปล่อยเอกสารดังกล่าว 

ส่วนที่เอกสารดังกล่าวอ้างถึง ‘พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ’ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นหนึ่งในพยาน ได้หารือกับ ‘พล.อ.ประวิตร’ ก่อนหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ขอไม่ตอบในส่วนนี้  

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าหากไม่ได้กลับไปเป็นข้าราขการตำรวจจะหันไปเล่นการเมืองหรือไม่ ‘พล.ต.อ.สุรเชษฐ์’ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เพียงแต่ตอบว่า ตอนนี้ยังไม่ได้คิด เอาเรื่องสู้คดีก่อน เพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่ลูกหลาน ว่าการกระทำโดยมิชอบจะมีผลอย่างไร

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์