สถานการณ์ปัญหาหมอกควันไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือ 17 จังหวัดของประเทศไทย กลับมาวิกฤตอีกครั้ง โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย ที่พบว่ามีค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานมาแล้วหลายวัน
โดยสถานการณ์มลพิษทางอากาศในพื้นที่ภาคเหนือวันนี้ ‘ปิ่นสักก์ สุรัสวดี’ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ในฐานะประธานศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ เปิดเผยว่า ค่าฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือ 17 จังหวัด ยังอยู่ในระดับวิกฤติต่อเนื่อง เกินมาตรฐานในระดับสีแดงถึง 18 พื้นที่ ใน จ.แม่ฮ่องสอน เชียงราย แพร่ น่าน ลำปาง ลำพูน พะเยา และเชียงใหม่
ส่วนใหญ่ค่าฝุ่นปรับตัวสูงขึ้นกว่า 99 – 517 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) โดย ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ค่าฝุ่นยังพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องกว่า 500 มคก./ลบ.ม. ติดต่อกันหลายวัน เนื่องจากยังพบการเผาในเขตป่าจำนวนมาก รวมถึงยังได้รับผลกระทบจากจุดความร้อน (Hotspot) จากประเทศเพื่อนบ้านที่ค่อนข้างรุนแรง และการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่มีผลต่อการสะสมของฝุ่น จึงขอให้ประชาชนในพื้นที่ควรงดกิจกรรมกลางแจ้ง กลุ่มเสี่ยงให้เฝ้าระวังอาการผิดปกติ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด พร้อมขอความร่วมมือประชาชนงดการบริหารจัดการเชื้อเพลิงต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลง
ขณะที่เว็บไซต์รายงานคุณภาพอากาศของ กรมควบคุมมลพิษ ได้รายงานค่าฝุ่น PM2.5 ณ เวลา 10.00 น. พบว่าในพื้นที่ ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีค่าฝุ่น PM2.5 สูงถึง 517 มคก./ลบ.ม. สูงกว่าค่ามาตรฐานของไทยที่กำหนดว่าหากเกิน 50 มคก./ลบ.ม. ถือว่ามีผลกระทบต่อสุขภาพ ไปถึง 10 เท่า และถือเป็นพื้นที่ที่มีคุณภาพอากาศแย่ที่สุดเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทยในตอนนี้ รองลงมา คือ ในพื้นที่ ต.เวียง อ.เมือง จ.เชียงราย ที่พบว่ามีค่าฝุ่น PM2.5 อยู่ที่ 407 มคก./ลบ.ม. สูงกว่ามาตรฐานถึง 8 เท่า และในพื้นที่ ต.เวียง อ.เชียงของ จ.เชียงราย พบว่ามีค่าฝุ่น PM2.5 อยู่ที่ 314 มคก./ลบ.ม. สูงกว่ามาตรฐานถึง 6 เท่า
ส่วนความเคลื่อนไหวของคนในพื้นที่ จ.เชียงราย เมื่อวานนี้ (27 มี.ค.66 ) ชาว อ.แม่สาย กว่า 200 คน ได้รวมตัวกัน ที่ บริเวณหน้าที่ว่าการ อ.แม่สาย เพื่อร่วมกันทำกิจกรรมเรียกร้องให้แก้ไขไฟป่าและหมอกควันข้ามแดน พร้อมเปิดรับบริจาค อุปกรณ์ น้ำดื่ม เครื่องใช้ที่จำเป็น เพื่อนำไปช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ดับไฟป่าในพื้นที่
รวมถึงมีการยื่นหนังสือเรียกร้องต่อ นายอำเภอแม่สาย ‘ณรงค์พล คิดอ่าน’ เพื่อขอให้แก้ไขปัญหาทั้งในระยะสั้น และระยะยาว โดยต้องการให้ภาครัฐเจรจาหารือกับประเทศเพื่อนบ้าน และผลักดันให้เป็นวาระของอาเซียน รวมผลักดันให้ภาคเอกชนที่ไปส่งเสริมทำการเกษตรได้แก้ไขปัญหาเพื่อลดการเผาป่าจนเกิดเป็นฝุ่นละอองพิษ
โดยสถานการณ์มลพิษทางอากาศในพื้นที่ภาคเหนือวันนี้ ‘ปิ่นสักก์ สุรัสวดี’ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ในฐานะประธานศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ เปิดเผยว่า ค่าฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือ 17 จังหวัด ยังอยู่ในระดับวิกฤติต่อเนื่อง เกินมาตรฐานในระดับสีแดงถึง 18 พื้นที่ ใน จ.แม่ฮ่องสอน เชียงราย แพร่ น่าน ลำปาง ลำพูน พะเยา และเชียงใหม่
ส่วนใหญ่ค่าฝุ่นปรับตัวสูงขึ้นกว่า 99 – 517 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) โดย ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ค่าฝุ่นยังพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องกว่า 500 มคก./ลบ.ม. ติดต่อกันหลายวัน เนื่องจากยังพบการเผาในเขตป่าจำนวนมาก รวมถึงยังได้รับผลกระทบจากจุดความร้อน (Hotspot) จากประเทศเพื่อนบ้านที่ค่อนข้างรุนแรง และการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่มีผลต่อการสะสมของฝุ่น จึงขอให้ประชาชนในพื้นที่ควรงดกิจกรรมกลางแจ้ง กลุ่มเสี่ยงให้เฝ้าระวังอาการผิดปกติ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด พร้อมขอความร่วมมือประชาชนงดการบริหารจัดการเชื้อเพลิงต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลง
ขณะที่เว็บไซต์รายงานคุณภาพอากาศของ กรมควบคุมมลพิษ ได้รายงานค่าฝุ่น PM2.5 ณ เวลา 10.00 น. พบว่าในพื้นที่ ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีค่าฝุ่น PM2.5 สูงถึง 517 มคก./ลบ.ม. สูงกว่าค่ามาตรฐานของไทยที่กำหนดว่าหากเกิน 50 มคก./ลบ.ม. ถือว่ามีผลกระทบต่อสุขภาพ ไปถึง 10 เท่า และถือเป็นพื้นที่ที่มีคุณภาพอากาศแย่ที่สุดเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทยในตอนนี้ รองลงมา คือ ในพื้นที่ ต.เวียง อ.เมือง จ.เชียงราย ที่พบว่ามีค่าฝุ่น PM2.5 อยู่ที่ 407 มคก./ลบ.ม. สูงกว่ามาตรฐานถึง 8 เท่า และในพื้นที่ ต.เวียง อ.เชียงของ จ.เชียงราย พบว่ามีค่าฝุ่น PM2.5 อยู่ที่ 314 มคก./ลบ.ม. สูงกว่ามาตรฐานถึง 6 เท่า
ส่วนความเคลื่อนไหวของคนในพื้นที่ จ.เชียงราย เมื่อวานนี้ (27 มี.ค.66 ) ชาว อ.แม่สาย กว่า 200 คน ได้รวมตัวกัน ที่ บริเวณหน้าที่ว่าการ อ.แม่สาย เพื่อร่วมกันทำกิจกรรมเรียกร้องให้แก้ไขไฟป่าและหมอกควันข้ามแดน พร้อมเปิดรับบริจาค อุปกรณ์ น้ำดื่ม เครื่องใช้ที่จำเป็น เพื่อนำไปช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ดับไฟป่าในพื้นที่
รวมถึงมีการยื่นหนังสือเรียกร้องต่อ นายอำเภอแม่สาย ‘ณรงค์พล คิดอ่าน’ เพื่อขอให้แก้ไขปัญหาทั้งในระยะสั้น และระยะยาว โดยต้องการให้ภาครัฐเจรจาหารือกับประเทศเพื่อนบ้าน และผลักดันให้เป็นวาระของอาเซียน รวมผลักดันให้ภาคเอกชนที่ไปส่งเสริมทำการเกษตรได้แก้ไขปัญหาเพื่อลดการเผาป่าจนเกิดเป็นฝุ่นละอองพิษ
