









ศึกถุงเงิน ยกที่ 2 ระหว่าง ‘ชูวิทย์’ VS ‘ทนายษิทรา’ เริ่มขึ้นแล้ว! โดยรอบนี้ ‘ชูวิทย์’ ได้ตั้งโต๊ะแถลงตอบโต้ ‘ษิทรา เบี้ยบังเกิด’ หรือทนายตั้ม ในทุกประเด็นที่มีข้อสงสัย
โดยเริ่มต้นด้วยการอัญเชิญรูปหล่อสัมฤทธิ์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มายกขึ้นเหนือหัว พร้อมสาบานต่อหน้าสื่อมวลชนในทำนองว่า หากพูดโกหกขอให้ตนเองเกิดความวิบัติ แต่หากพูดความจริงขอให้มีแต่ความเจริญ จากนั้น ‘ชูวิทย์’ ได้นำเหรียญ 5 บาท โยนใส่ตาชั่ง พร้อมพูดว่า “ความยุติธรรม ท่านตัดสินผมได้เลย แต่ความยุติธรรมอาจไม่มีอยู่จริง อาจจะเป็นเงิน?”
หนึ่งในประเด็นที่ ‘ชูวิทย์’ ชี้แจง คือ การยอมรับว่าเขารับเงิน จำนวน 6 ล้านบาท มาจาก ‘สารวัตรซัว’ เจ้าของเว็บพนันออนไลน์รายใหญ่จริง โดยมีตำรวจชั้นผู้ใหญ่ 2 นาย ซึ่งเขารู้จักมากว่า 30 ปี ตั้งแต่ทำอาบอบนวด นำถุงเงิน จำนวน 2 ถุง ถุงละ 3 ล้านบาท มาให้ แม้จะปฏิเสธไปแล้วว่าไม่เอา ไม่รับเคลียร์ แต่ก็ถูกยัดเยียดให้ จึงจำใจต้องรับไว้ และคิดว่าจะทำยังไงกับเงินก้อนนี้ดี แต่สุดท้ายเขาก็เลือกจะนำเงินจำนวนดังกล่าวไปบริจาคให้ รพ.ธรรมศาสตร์ และ รพ.ศิริราช ทั้งที่จะเก็บไว้ใช้ส่วนตัวก็ทำได้ แต่เขาไม่ทำ ย้ำว่าเขาไม่เคยพูดว่าตัวเองเป็นคนดี ดังนั้นเรื่องนี้ขอให้ประชาชน เป็นผู้ตัดสินเองว่าคิดเห็นอย่างไร แต่ยืนยันว่าเงินในถุงมี 6 ล้านบาท ไม่ใช่ 10 ล้านบาท อย่างที่ ‘ทนายตั้ม’ กล่าวหา
ส่วนข้อมูลที่ ‘ทนายตั้ม’ อ้างว่าได้มาจาก ‘หลาน’ ฝั่งเมียของชูวิทย์ เรื่องนี้ ‘ชูวิทย์’ บอกว่าหลานคนดังกล่าว ชื่อ ‘เปา’ เป็นหลานเนรคุณ ที่เขาได้เลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเล็ก เพราะพ่อเด็กติดคุก และได้แยกทางกับแม่เด็กไป แต่เขาก็ได้ส่งเสียหลานคนนี้จนกระทั้งเรียนจบ แต่ช่วงที่เขาติดคุก หลานคนนี้ได้ไปทำงานกับ ‘สารวัตรซัว’ เนื่องจากหลาน เคยเรียนโรงเรียนเดียวกันมา โดยได้ค่าจ้าง 3-4 แสนบาท และให้เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของลาลิซ่าอาบอบนวด
ประเด็นที่ต่อมา คือ เรื่องที่ ‘ทนายตั้ม’ อ้างว่ามีเงินดิจิทัล จำนวน 50 ล้านบาท โอนเข้าบัญชีของ ‘กล่องดวงใจ’ ของชูวิทย์ ‘ชูวิทย์’ อธิบายว่าคนที่ทนายตั้มหมายถึง เข้าใจว่าเป็น ‘เติม’ ลูกชายคนเดียวของเขา แต่ขอยืนยันว่าลูกชายตัวเองมีอันจะกิน ไม่เคยเล่นการพนัน และไม่มีเงินโอนเข้าบัญชีตามที่ทนายตั้มกล่าวหา ส่วนเพื่อนของลูกจะทำเว็บพนันหรือไม่นั้น ไม่ทราบ แต่หากลูกชายเขาทำผิดจริง ก็ว่าไปตามกฎหมาย
เรื่องที่เกิดขึ้น ‘ชูวิทย์’ ยืนยันว่าไม่มีผลต่ออุดมการณ์ที่ตั้งใจเดินหน้าต่อต้านการคอร์รัปชัน และต่อต้านนโยบายกัญชาของพรรคภูมิใจไทยแน่นอน โดยวันพรุ่งนี้ 24 มี.ค. เวลา 12.00 น. เขาจะไปแจกเสื้อ-เข็มกลัด ที่ ตลาดนัดซอยเฉยพ่วง โดยเปิดเผยถึงแนวทางการต่อสู้ต่อจากนี้ด้วย
นอกจากนี้ ‘ชูวิทย์’ ยังย้อนถาม ‘ทนายตั้ม’ ว่ารับงานมาจากใคร เพราะไม่รู้ว่าการที่ทนายตั้มออกมาพูดครั้งนี้มีเหตุผลอะไร เนื่องจากไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัว และหากทนายตั้ม มั่นใจว่ามีหลักฐานอื่นมาแฉอีก ก็ยินดีให้เปิดเผยมาเลย และเชื่อว่าเรื่องนี้มีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนที่ทนายตั้ม บอกว่าพร้อมร่วมโต๊ะแฉข้อมูลการทุจริตรถไฟฟ้ากับเขา ส่วนตัวยินดี และไม่ได้มีปัญหาอะไร
โดยเริ่มต้นด้วยการอัญเชิญรูปหล่อสัมฤทธิ์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มายกขึ้นเหนือหัว พร้อมสาบานต่อหน้าสื่อมวลชนในทำนองว่า หากพูดโกหกขอให้ตนเองเกิดความวิบัติ แต่หากพูดความจริงขอให้มีแต่ความเจริญ จากนั้น ‘ชูวิทย์’ ได้นำเหรียญ 5 บาท โยนใส่ตาชั่ง พร้อมพูดว่า “ความยุติธรรม ท่านตัดสินผมได้เลย แต่ความยุติธรรมอาจไม่มีอยู่จริง อาจจะเป็นเงิน?”
หนึ่งในประเด็นที่ ‘ชูวิทย์’ ชี้แจง คือ การยอมรับว่าเขารับเงิน จำนวน 6 ล้านบาท มาจาก ‘สารวัตรซัว’ เจ้าของเว็บพนันออนไลน์รายใหญ่จริง โดยมีตำรวจชั้นผู้ใหญ่ 2 นาย ซึ่งเขารู้จักมากว่า 30 ปี ตั้งแต่ทำอาบอบนวด นำถุงเงิน จำนวน 2 ถุง ถุงละ 3 ล้านบาท มาให้ แม้จะปฏิเสธไปแล้วว่าไม่เอา ไม่รับเคลียร์ แต่ก็ถูกยัดเยียดให้ จึงจำใจต้องรับไว้ และคิดว่าจะทำยังไงกับเงินก้อนนี้ดี แต่สุดท้ายเขาก็เลือกจะนำเงินจำนวนดังกล่าวไปบริจาคให้ รพ.ธรรมศาสตร์ และ รพ.ศิริราช ทั้งที่จะเก็บไว้ใช้ส่วนตัวก็ทำได้ แต่เขาไม่ทำ ย้ำว่าเขาไม่เคยพูดว่าตัวเองเป็นคนดี ดังนั้นเรื่องนี้ขอให้ประชาชน เป็นผู้ตัดสินเองว่าคิดเห็นอย่างไร แต่ยืนยันว่าเงินในถุงมี 6 ล้านบาท ไม่ใช่ 10 ล้านบาท อย่างที่ ‘ทนายตั้ม’ กล่าวหา
ส่วนข้อมูลที่ ‘ทนายตั้ม’ อ้างว่าได้มาจาก ‘หลาน’ ฝั่งเมียของชูวิทย์ เรื่องนี้ ‘ชูวิทย์’ บอกว่าหลานคนดังกล่าว ชื่อ ‘เปา’ เป็นหลานเนรคุณ ที่เขาได้เลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเล็ก เพราะพ่อเด็กติดคุก และได้แยกทางกับแม่เด็กไป แต่เขาก็ได้ส่งเสียหลานคนนี้จนกระทั้งเรียนจบ แต่ช่วงที่เขาติดคุก หลานคนนี้ได้ไปทำงานกับ ‘สารวัตรซัว’ เนื่องจากหลาน เคยเรียนโรงเรียนเดียวกันมา โดยได้ค่าจ้าง 3-4 แสนบาท และให้เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของลาลิซ่าอาบอบนวด
ประเด็นที่ต่อมา คือ เรื่องที่ ‘ทนายตั้ม’ อ้างว่ามีเงินดิจิทัล จำนวน 50 ล้านบาท โอนเข้าบัญชีของ ‘กล่องดวงใจ’ ของชูวิทย์ ‘ชูวิทย์’ อธิบายว่าคนที่ทนายตั้มหมายถึง เข้าใจว่าเป็น ‘เติม’ ลูกชายคนเดียวของเขา แต่ขอยืนยันว่าลูกชายตัวเองมีอันจะกิน ไม่เคยเล่นการพนัน และไม่มีเงินโอนเข้าบัญชีตามที่ทนายตั้มกล่าวหา ส่วนเพื่อนของลูกจะทำเว็บพนันหรือไม่นั้น ไม่ทราบ แต่หากลูกชายเขาทำผิดจริง ก็ว่าไปตามกฎหมาย
เรื่องที่เกิดขึ้น ‘ชูวิทย์’ ยืนยันว่าไม่มีผลต่ออุดมการณ์ที่ตั้งใจเดินหน้าต่อต้านการคอร์รัปชัน และต่อต้านนโยบายกัญชาของพรรคภูมิใจไทยแน่นอน โดยวันพรุ่งนี้ 24 มี.ค. เวลา 12.00 น. เขาจะไปแจกเสื้อ-เข็มกลัด ที่ ตลาดนัดซอยเฉยพ่วง โดยเปิดเผยถึงแนวทางการต่อสู้ต่อจากนี้ด้วย
นอกจากนี้ ‘ชูวิทย์’ ยังย้อนถาม ‘ทนายตั้ม’ ว่ารับงานมาจากใคร เพราะไม่รู้ว่าการที่ทนายตั้มออกมาพูดครั้งนี้มีเหตุผลอะไร เนื่องจากไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัว และหากทนายตั้ม มั่นใจว่ามีหลักฐานอื่นมาแฉอีก ก็ยินดีให้เปิดเผยมาเลย และเชื่อว่าเรื่องนี้มีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนที่ทนายตั้ม บอกว่าพร้อมร่วมโต๊ะแฉข้อมูลการทุจริตรถไฟฟ้ากับเขา ส่วนตัวยินดี และไม่ได้มีปัญหาอะไร