ปัญหาไฟป่ายังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องในพื้นที่หลายอำเภอโซนใต้ของจังหวัดเชียงใหม่ หลังใบไม้เริ่มแห้งร่วงหล่นเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ทำให้เจ้าหน้าที่ ที่เข้าไปดับไฟป่าต้องทำงานอย่างหนัก ขณะที่คุณภาพอากาศในหลายพื้นที่เริ่มเกินค่ามาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตกลุ่มเสี่ยง ผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ และกลุ่มผู้สูงอายุ ที่ต้องปรับตัวป้องกันเพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพ



ล่าสุด คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ได้ออกเตือนประชาชนหลังคุณภาพอากาศเริ่มเกินค่ามาตรฐาน ฝุ่น PM 2.5 สะสมหนาแน่น สำหรับประชาชน ที่มีความจำเป็นต้องอยู่ท่ามกลางพื้นที่ที่มีหมอกควัน จะต้องหาวิธีป้องกันตัวเอง โดยการหมั่นติดตามค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) จากแอพลิเคชันหรือประกาศในจุดวัดที่ใกล้ที่ตัวเองอยู่ที่สุด หรือดูค่า realtime PM 2.5 จากเครื่องวัดส่วนตัวโดยตรง
ปิดประตูหน้าต่างห้องนอน ห้องทำงาน หรือห้องที่ใช้ชีวิตประจำวันมากกว่า 3 ชั่วโมง พร้อมปิดรอยรั่วที่ผนังห้อง ประตูและหน้าต่าง พร้อมเปิดระบบหรือเครื่องฟอกอากาศ ติดตามเป้าหมายให้ค่า PM2.5 ในห้องเหลือต่ำที่สุด และไม่ควรเกิน10-15 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
ควรสวมหน้ากากชนิด N95 เมื่อจำเป็นต้องอยู่นอกอาคาร หรืออยู่ในอาคารที่ไม่มีระบบ หรือเครื่องฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพพอ หลีกเลี่ยงทำงาน/ออกกำลังกายนอกอาคาร หรือในอาคารที่ไม่มีระบบฟอกอากาศ
ขณะที่ผู้ที่มีโรคประจำตัว หากมีอาการเพิ่มหรือรุนแรงมากขึ้นกว่าปกติ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำที่แพทย์เคยให้ไว้หรือมาปรึกษาแพทย์ก่อนนัด หากมีกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ประจำตัว ควรใช้ยาสม่ำเสมอและปฏิบัติตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด ส่วนผู้ที่ไม่มีโรคประจำตัวหรือแข็งแรง ถ้ามีอาการผิดปกติที่รบกวนชีวิตประจำวันควรรีบพบแพทย์ หากรู้สึกระคายเคืองตา หรือมีโรคตาประจำตัว ควรสวมแว่นตากระชับกรอบตา หรือแว่นขนาดใหญ่ และใช้น้ำตาเทียมหยอดตาลดอาการตาแห้ง ระคายเคืองตา



จากการพูดคุยกับ แก้วดี วงศ์กุณา คุณยายอายุ 76 ปี ผู้สูงอายุในอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ต้องเผชิญกับปัญหาฝุ่น PM 2.5 มากว่า 10 ปี บอกว่า ส่วนตัวอายุมากแล้ว ไม่ค่อยได้ออกไปไหนอาศัยอยู่แต่ในบ้าน แต่ก็ยังคงต้องออกมาในพื้นที่กลางแจ้งช่วยญาติพี่น้องทำงานเล็กๆ น้อยๆ ในช่วงที่ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก pm 2.5 เพิ่มสูง ต้องคอยระมัดระวังตัวเอง โดยสังเกตจากท้องฟ้า ที่มีความขุ่นมัว ก็จะรู้สึกได้ว่า เริ่มหายใจไม่ค่อยสะดวก มีอาการแสบตา แสบคอ จึงต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา เพื่อลดผลกระทบกับสุขภาพของตัวเองเนื่องจากอายุเยอะแล้ว


“ในช่วงที่ฝุ่น PM 2.5 สูงมาก ก็เลือกที่จะอยู่แต่ในห้องที่ปิดยังไม่ชิด ที่มีเครื่องฟอกอากาศเท่านั้น แม้อยู่แต่ในห้องจะไม่ส่งผลกระทบกับสุขภาพ แต่ก็ส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตอยู่ดี จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหาให้ได้สักที”
— แก้วดี วงศ์กุณา

ด้าน กิตติภรณ์ กิตติพงศ์ไพศาล ผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง ชาวอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ในช่วงที่ ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 สูงเกินค่ามาตรฐาน จะต้องสวมหน้ากากป้องกันฝุ่น แบบ N95 เพื่อป้องกันการสูดฝุ่นเข้าสู่ปอด หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง หากไม่จำเป็นก็จะอยู่แต่ในอาคารหรือสถานที่ปิดที่มีระบบกรองอากาศ
รวมถึงปิดประตูหน้าต่าง เพื่อป้องกันฝุ่นเข้ามาในบ้าน ใช้เครื่องฟอกอากาศเพื่อช่วยกรองฝุ่นในอากาศทำความสะอาดล้างหน้าและมือบ่อยๆ เพื่อขจัดฝุ่นที่เกาะตามผิวหนัง และป้องกันการนำฝุ่นเข้าร่างกายจากการสัมผัส ดื่มน้ำมากๆ ช่วยให้ร่างกายขับฝุ่นและสารพิษออกทางปัสสาวะ สังเกตอาการผิดปกติ เช่น ไอ เจ็บคอ หายใจลำบาก หรือระคายเคือง เพราะมีโรคประจำตัว จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
“หากสูดฝุ่นเข้าไป ก็จะแสดงอาการทันทีโดยเฉพาะ อาการไอเรื้อรัง มีเสมหะ เจ็บคอ แสบคอ หรือรู้สึกระคายเคืองในลำคอ มีน้ำมูกไหล หรือจมูกอุดตันและมีตาแดง แสบตา หรือคันตา น้ำตาไหลบ่อย เวียนศีรษะ ปวดหัว ภูมิแพ้กำเริบ”

สำหรับพื้นที่ภาคเหนือที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 ต่อเนื่องมาหลายปี พบว่ามีสถิติของผู้ป่วยมะเร็งปอดเพิ่มมากขึ้น โดยข้อมูลจากกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า พื้นที่ภาคเหนือมีอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งปอดสูงกว่าภาคอื่นๆ โดย พบผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดรายใหม่เฉลี่ยปีละ 2,487 คนต่อปี หรือประมาณวันละ 7 คน และเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดเฉลี่ยปีละ 1,800 คนต่อปี หรือประมาณวันละ 5 คน คิดเป็นร้อยละ 80 ของผู้ป่วยมะเร็งปอด ที่ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุ มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป
ขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานสาธารณะสุขจังหวัดเชียงใหม่ ชี้ว่า จากการเก็บสถิติผู้ป่วยมะเร็งปอดตั้งแต่ปี 2560 ถึง 2565 พบว่า ปี 2562 จังหวัดเชียงใหม่ มีอัตราผู้ป่วยมะเร็งปอดรายใหม่ สูงถึงร้อยละ 77.66 ต่อประชากร 1 แสนคน และมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 35.13
