PM2.5 หมอกควัน ไฟป่า ภัยร้าย! ทำลายสุขภาพคนเชียงใหม่

24 ก.พ. 2568 - 02:00

  • เชียงใหม่สภาพอากาศแห้งเกิดไฟป่าอย่างต่อเนื่อง ปัญหาหมอกควัน ฝุ่นพิษ เริ่มสะสมในหลายพื้นที่

  • PM 2.5 เริ่มเกินค่ามาตรฐานคุณภาพอากาศไม่ดี ส่งผลกระทบกับกลุ่มผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ

  • กลุ่มผู้สูงอายุต้องป้องกัน ปรับตัวเพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพที่จะเกิดขึ้น

PM_2_5_Chiang_Mai_toxic_dust_that_destroys_health_SPACEBAR_Hero_dc34078bf5.jpg

ปัญหาไฟป่ายังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องในพื้นที่หลายอำเภอโซนใต้ของจังหวัดเชียงใหม่ หลังใบไม้เริ่มแห้งร่วงหล่นเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ทำให้เจ้าหน้าที่ ที่เข้าไปดับไฟป่าต้องทำงานอย่างหนัก ขณะที่คุณภาพอากาศในหลายพื้นที่เริ่มเกินค่ามาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตกลุ่มเสี่ยง ผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ และกลุ่มผู้สูงอายุ ที่ต้องปรับตัวป้องกันเพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพ

PM_2_5_Chiang_Mai_toxic_dust_that_destroys_health_SPACEBAR_Photo01_1f1ce6dcca.jpg
PM_2_5_Chiang_Mai_toxic_dust_that_destroys_health_SPACEBAR_Photo02_f92bf9649e.jpg
PM_2_5_Chiang_Mai_toxic_dust_that_destroys_health_SPACEBAR_Photo03_6e01309c25.jpg

ล่าสุด คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ได้ออกเตือนประชาชนหลังคุณภาพอากาศเริ่มเกินค่ามาตรฐาน  ฝุ่น PM 2.5 สะสมหนาแน่น สำหรับประชาชน ที่มีความจำเป็นต้องอยู่ท่ามกลางพื้นที่ที่มีหมอกควัน จะต้องหาวิธีป้องกันตัวเอง โดยการหมั่นติดตามค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) จากแอพลิเคชันหรือประกาศในจุดวัดที่ใกล้ที่ตัวเองอยู่ที่สุด หรือดูค่า realtime PM 2.5 จากเครื่องวัดส่วนตัวโดยตรง

ปิดประตูหน้าต่างห้องนอน ห้องทำงาน หรือห้องที่ใช้ชีวิตประจำวันมากกว่า 3 ชั่วโมง พร้อมปิดรอยรั่วที่ผนังห้อง ประตูและหน้าต่าง พร้อมเปิดระบบหรือเครื่องฟอกอากาศ ติดตามเป้าหมายให้ค่า PM2.5 ในห้องเหลือต่ำที่สุด และไม่ควรเกิน10-15 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร 

ควรสวมหน้ากากชนิด N95 เมื่อจำเป็นต้องอยู่นอกอาคาร หรืออยู่ในอาคารที่ไม่มีระบบ หรือเครื่องฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพพอ หลีกเลี่ยงทำงาน/ออกกำลังกายนอกอาคาร หรือในอาคารที่ไม่มีระบบฟอกอากาศ

ขณะที่ผู้ที่มีโรคประจำตัว หากมีอาการเพิ่มหรือรุนแรงมากขึ้นกว่าปกติ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำที่แพทย์เคยให้ไว้หรือมาปรึกษาแพทย์ก่อนนัด หากมีกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ประจำตัว ควรใช้ยาสม่ำเสมอและปฏิบัติตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด ส่วนผู้ที่ไม่มีโรคประจำตัวหรือแข็งแรง ถ้ามีอาการผิดปกติที่รบกวนชีวิตประจำวันควรรีบพบแพทย์ หากรู้สึกระคายเคืองตา หรือมีโรคตาประจำตัว ควรสวมแว่นตากระชับกรอบตา หรือแว่นขนาดใหญ่ และใช้น้ำตาเทียมหยอดตาลดอาการตาแห้ง ระคายเคืองตา

PM_2_5_Chiang_Mai_toxic_dust_that_destroys_health_SPACEBAR_Photo_V01_25675bbf54.jpg
PM_2_5_Chiang_Mai_toxic_dust_that_destroys_health_SPACEBAR_Photo04_0c3d025652.jpg
PM_2_5_Chiang_Mai_toxic_dust_that_destroys_health_SPACEBAR_Photo08_f07748f2d0.jpg

จากการพูดคุยกับ แก้วดี วงศ์กุณา คุณยายอายุ 76 ปี ผู้สูงอายุในอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ต้องเผชิญกับปัญหาฝุ่น PM  2.5 มากว่า 10 ปี บอกว่า ส่วนตัวอายุมากแล้ว ไม่ค่อยได้ออกไปไหนอาศัยอยู่แต่ในบ้าน แต่ก็ยังคงต้องออกมาในพื้นที่กลางแจ้งช่วยญาติพี่น้องทำงานเล็กๆ น้อยๆ ในช่วงที่ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก pm 2.5 เพิ่มสูง ต้องคอยระมัดระวังตัวเอง โดยสังเกตจากท้องฟ้า ที่มีความขุ่นมัว ก็จะรู้สึกได้ว่า เริ่มหายใจไม่ค่อยสะดวก มีอาการแสบตา แสบคอ จึงต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา เพื่อลดผลกระทบกับสุขภาพของตัวเองเนื่องจากอายุเยอะแล้ว

PM_2_5_Chiang_Mai_toxic_dust_that_destroys_health_SPACEBAR_Photo09_ac6886e9fc.jpg
PM_2_5_Chiang_Mai_toxic_dust_that_destroys_health_SPACEBAR_Photo10_84384e85ad.jpg

“ในช่วงที่ฝุ่น PM 2.5 สูงมาก ก็เลือกที่จะอยู่แต่ในห้องที่ปิดยังไม่ชิด ที่มีเครื่องฟอกอากาศเท่านั้น แม้อยู่แต่ในห้องจะไม่ส่งผลกระทบกับสุขภาพ แต่ก็ส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตอยู่ดี จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหาให้ได้สักที”

แก้วดี วงศ์กุณา

PM_2_5_Chiang_Mai_toxic_dust_that_destroys_health_SPACEBAR_Photo11_82daf9d4ef.jpg

ด้าน กิตติภรณ์ กิตติพงศ์ไพศาล ผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง ชาวอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ในช่วงที่ ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 สูงเกินค่ามาตรฐาน จะต้องสวมหน้ากากป้องกันฝุ่น แบบ N95 เพื่อป้องกันการสูดฝุ่นเข้าสู่ปอด หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง หากไม่จำเป็นก็จะอยู่แต่ในอาคารหรือสถานที่ปิดที่มีระบบกรองอากาศ

รวมถึงปิดประตูหน้าต่าง เพื่อป้องกันฝุ่นเข้ามาในบ้าน ใช้เครื่องฟอกอากาศเพื่อช่วยกรองฝุ่นในอากาศทำความสะอาดล้างหน้าและมือบ่อยๆ เพื่อขจัดฝุ่นที่เกาะตามผิวหนัง และป้องกันการนำฝุ่นเข้าร่างกายจากการสัมผัส ดื่มน้ำมากๆ ช่วยให้ร่างกายขับฝุ่นและสารพิษออกทางปัสสาวะ สังเกตอาการผิดปกติ เช่น ไอ เจ็บคอ หายใจลำบาก หรือระคายเคือง เพราะมีโรคประจำตัว จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ 

“หากสูดฝุ่นเข้าไป ก็จะแสดงอาการทันทีโดยเฉพาะ อาการไอเรื้อรัง มีเสมหะ เจ็บคอ แสบคอ หรือรู้สึกระคายเคืองในลำคอ มีน้ำมูกไหล หรือจมูกอุดตันและมีตาแดง แสบตา หรือคันตา น้ำตาไหลบ่อย เวียนศีรษะ ปวดหัว ภูมิแพ้กำเริบ”

PM_2_5_Chiang_Mai_toxic_dust_that_destroys_health_SPACEBAR_Photo07_98fb849aaa.jpg

สำหรับพื้นที่ภาคเหนือที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 ต่อเนื่องมาหลายปี พบว่ามีสถิติของผู้ป่วยมะเร็งปอดเพิ่มมากขึ้น โดยข้อมูลจากกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า พื้นที่ภาคเหนือมีอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งปอดสูงกว่าภาคอื่นๆ โดย พบผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดรายใหม่เฉลี่ยปีละ 2,487 คนต่อปี หรือประมาณวันละ 7 คน และเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดเฉลี่ยปีละ 1,800 คนต่อปี หรือประมาณวันละ 5 คน คิดเป็นร้อยละ 80 ของผู้ป่วยมะเร็งปอด ที่ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุ มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป 

ขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานสาธารณะสุขจังหวัดเชียงใหม่ ชี้ว่า จากการเก็บสถิติผู้ป่วยมะเร็งปอดตั้งแต่ปี 2560 ถึง 2565 พบว่า ปี 2562 จังหวัดเชียงใหม่ มีอัตราผู้ป่วยมะเร็งปอดรายใหม่ สูงถึงร้อยละ 77.66 ต่อประชากร 1 แสนคน และมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 35.13

PM_2_5_Chiang_Mai_toxic_dust_that_destroys_health_SPACEBAR_Photo06_d415374f91.jpg

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์