‘รังสิมันต์ โรม’ ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นดราม่าหลักสูตร ‘กอส.’ เพจ เพื่อนตำรวจ แฉเรื่องการใช้เส้นสายผ่านหลักสูตร ‘กอส.’ ของตำรวจ โดยเปิดเผยว่ามี ‘ตำรวจหญิง’ รายหนึ่งเลื่อนยศเร็ว ขึ้นแท่นผู้กองภายในเวลา 4 ปี
‘รังสิมันต์’ อธิบายว่า เดิมทีหลักสูตรนี้วางไว้สำหรับบางคนที่มีวุฒิการศึกษา ที่เล็งเห็นว่าจะช่วยให้องค์กรตำรวจมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่เมื่อย้อนตรวจสอบจะเห็นว่าคนที่เข้ามาผ่านหลักสูตรนี้ ส่วนใหญ่เป็นคนที่มาจากตระกูลดัง นามสกุลดัง จากวงการต่างๆ โดย ‘รังสิมันต์’ เชื่อว่าจุดนี้เองที่สะท้อนว่ามีการใช้เส้นสายผ่านหลักสูตรนี้
ประเด็นที่เกิดขึ้น ‘รังสิมันต์’ ยังบอกว่าพรรคก้าวไกลอยู่ระหว่างการตรวจสอบ โดยจะตรวจสอบย้อนหลังด้วยว่ามีการใช้หลักสูตรดังกล่าว ตรงตามกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งขึ้นมาหรือไม่ หรือสุดท้ายเป็นเรื่องของการใช้เส้นสายหรือเป็นเรื่องตั๋วชนิดหนึ่ง รวมถึงต้องตรวจสอบว่ามีการจ่ายเงินหรือเรียกรับรับสิน ซึ่งเป็นการทุจริตคอร์รัปชันด้วยหรือไม่ และหากเข้าข่ายต้องมีการดำเนินการตามกฎหมายกับคนที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ด้วย
‘รังสิมันต์’ ยังฝากถึงตำรวจที่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าสามารถส่งข้อมูลให้เขาผ่านทางเฟซบุ๊กหรืออีเมลล์ได้เลย พร้อมยอมรับการซื้อขายตั๋วใช้เงินสด จึงทำให้ตรวจสอบได้ยาก แต่หากมีหลักฐานอื่นที่สามารถใช้ได้เขาก็พร้อมลุยตรวจสอบให้อย่างเต็มที่ เพราะเขาต้องการให้เกิดความเสมอภาคและเท่าเทียม เนื่องจากตำรวจชั้นประทวนเลื่อนยศยาก ต้องรอจึนถึงอายุ 53 ปีก่อน ถึงจะติดยศนายร้อยได้
ส่วนประเด็นที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องนี้ยิ่งกว่าตั๋วช้าง ‘รังสิมันต์’ มองว่ากรณีนี้ตั๋วช้างอีกแบบหนึ่ง แต่ตั๋วช้างมีจำนวนไม่เยอะ แต่เรื่องนี้คือตั๋วชนิดหนึ่ง พร้อมอ้างว่าหลักสูตรนี้นอกจากเปิดรับ พ่อค้า แม่ค้า เจ้าสัว ที่มีหน้าตาในสังคม แต่บางครั้งก็มีพวกเว็บพนันหรือเว็บผิดกฎหมายส่งคนของตัวเองมาเป็นตำรวจ เพื่อเป็นสายตำรวจด้วย ย้ำว่าสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาเรื้อรังที่เกิดขึ้นในวงการตำรวจ
‘รังสิมันต์’ ยืนยันว่า หากพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลสิ่งสำคัญคือการปฏิรูปตำรวจทั้งระยะสั้น และระยะยาว แต่เรื่องนี้ต้องใช้เวลา อีกทั้งล่าสุดเพิ่งมีการแก้ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ไปแล้ว แต่พรรคก้าวไกลเห็นว่ายังมีปัญหาอยู่ โดยเฉพาะการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม ส่วนในระยะสั้นจะต้องสร้างความโปร่งใส ให้เกิดความน่าเชื่อถือ และต้องตอบคำถามให้ได้เวลาที่มีการแต่งตั้งโยกย้าย ว่าใครควรได้ตำแหน่งหรือไม่ควรได้ ก่อนทิ้งท้ายว่าต่อไปนี้ในยุครัฐบาลก้าวไกล ‘กำลังขาที่ตำรวจมีจะต้องใช้ในการจับโจร ไม่ใช่ใช้เพื่อวิ่งหานายอีกต่อไป’
‘รังสิมันต์’ อธิบายว่า เดิมทีหลักสูตรนี้วางไว้สำหรับบางคนที่มีวุฒิการศึกษา ที่เล็งเห็นว่าจะช่วยให้องค์กรตำรวจมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่เมื่อย้อนตรวจสอบจะเห็นว่าคนที่เข้ามาผ่านหลักสูตรนี้ ส่วนใหญ่เป็นคนที่มาจากตระกูลดัง นามสกุลดัง จากวงการต่างๆ โดย ‘รังสิมันต์’ เชื่อว่าจุดนี้เองที่สะท้อนว่ามีการใช้เส้นสายผ่านหลักสูตรนี้
ประเด็นที่เกิดขึ้น ‘รังสิมันต์’ ยังบอกว่าพรรคก้าวไกลอยู่ระหว่างการตรวจสอบ โดยจะตรวจสอบย้อนหลังด้วยว่ามีการใช้หลักสูตรดังกล่าว ตรงตามกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งขึ้นมาหรือไม่ หรือสุดท้ายเป็นเรื่องของการใช้เส้นสายหรือเป็นเรื่องตั๋วชนิดหนึ่ง รวมถึงต้องตรวจสอบว่ามีการจ่ายเงินหรือเรียกรับรับสิน ซึ่งเป็นการทุจริตคอร์รัปชันด้วยหรือไม่ และหากเข้าข่ายต้องมีการดำเนินการตามกฎหมายกับคนที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ด้วย
‘รังสิมันต์’ ยังฝากถึงตำรวจที่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าสามารถส่งข้อมูลให้เขาผ่านทางเฟซบุ๊กหรืออีเมลล์ได้เลย พร้อมยอมรับการซื้อขายตั๋วใช้เงินสด จึงทำให้ตรวจสอบได้ยาก แต่หากมีหลักฐานอื่นที่สามารถใช้ได้เขาก็พร้อมลุยตรวจสอบให้อย่างเต็มที่ เพราะเขาต้องการให้เกิดความเสมอภาคและเท่าเทียม เนื่องจากตำรวจชั้นประทวนเลื่อนยศยาก ต้องรอจึนถึงอายุ 53 ปีก่อน ถึงจะติดยศนายร้อยได้
ส่วนประเด็นที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องนี้ยิ่งกว่าตั๋วช้าง ‘รังสิมันต์’ มองว่ากรณีนี้ตั๋วช้างอีกแบบหนึ่ง แต่ตั๋วช้างมีจำนวนไม่เยอะ แต่เรื่องนี้คือตั๋วชนิดหนึ่ง พร้อมอ้างว่าหลักสูตรนี้นอกจากเปิดรับ พ่อค้า แม่ค้า เจ้าสัว ที่มีหน้าตาในสังคม แต่บางครั้งก็มีพวกเว็บพนันหรือเว็บผิดกฎหมายส่งคนของตัวเองมาเป็นตำรวจ เพื่อเป็นสายตำรวจด้วย ย้ำว่าสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาเรื้อรังที่เกิดขึ้นในวงการตำรวจ
‘รังสิมันต์’ ยืนยันว่า หากพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลสิ่งสำคัญคือการปฏิรูปตำรวจทั้งระยะสั้น และระยะยาว แต่เรื่องนี้ต้องใช้เวลา อีกทั้งล่าสุดเพิ่งมีการแก้ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ไปแล้ว แต่พรรคก้าวไกลเห็นว่ายังมีปัญหาอยู่ โดยเฉพาะการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม ส่วนในระยะสั้นจะต้องสร้างความโปร่งใส ให้เกิดความน่าเชื่อถือ และต้องตอบคำถามให้ได้เวลาที่มีการแต่งตั้งโยกย้าย ว่าใครควรได้ตำแหน่งหรือไม่ควรได้ ก่อนทิ้งท้ายว่าต่อไปนี้ในยุครัฐบาลก้าวไกล ‘กำลังขาที่ตำรวจมีจะต้องใช้ในการจับโจร ไม่ใช่ใช้เพื่อวิ่งหานายอีกต่อไป’
