ความคืบหน้าเหตุชาวเวียดนาม 6 ราย เสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาภายในห้องพักโรงแรมดังย่านราชประสงค์
ล่าสุดวันนี้ (17 ก.ค.) เมื่อช่วงสายที่ผ่านมา หลังการประชุมติดตามความคืบหน้าคดีดังกล่าว ที่ สน.ลุมพินี พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล และ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ได้แถลงข่าวความคืบหน้าคดี

ประเด็นสำคัญของการแถลงข่าว คือการไล่ไทม์ไลน์การเดินเข้าออกห้องพักของผู้เสียชีวิตทั้ง 6 คน เพื่อชี้ให้เห็นว่าในห้องที่เกิดเหตุ ไม่พบบุคคลภายนอกที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นคนร้ายเข้ามาลงมือก่อเหตุ หมายความว่าผู้ก่อเหตุเป็น 1 ใน 6 คน ที่ถูกพบเป็นศพในห้องพัก
พล.ต.ต.นพศิลป์ ระบุว่าจากการสอบปากคำพนักงานของโรงแรม ให้ข้อมูลว่าในวันที่ 15 ก.ค. ผู้เข้าพักในห้อง 502 (ห้องที่พบศพ)ได้สั่งอาหารจำนวนหนึ่ง ประกอบด้วย ข้าวผัด 5 จาน ต้มยำกุ้ง 4 จาน ผัดผักรวม 4 จาน และผัดผักบุ้ง 1 จาน และน้ำชา 2 พร้อมแก้วน้ำชา 6 ใบ ต่อมาได้สั่งอาหารเพิ่มอีกเป็นข้าวผัด 1 จาน และ ชุดน้ำชา 6 แก้ว พร้อมกำชับให้นำมาส่งที่ห้องในเวลา 14.00 น.

โดยพนักงานโรงแรมได้นำอาหารชุดแรกเข้าไปส่งที่ห้องในเวลา 13.51 น. โดยนำอาหารใส่ในถัง พร้อมด้วยชุดชาและแก้วน้ำร้อน นำมาวางไว้บนโต๊ะภายในห้อง และได้พบกับหนึ่งในผู้เสียชีวิตที่เป็นผู้หญิง (Ms.Chon Sherine ชาวเวียดนาม สัญชาติอเมริกัน) อยู่ภายในห้องเพียงคนเดียวเป็นผู้รับอาหาร โดยพนักงานเสนอจะชงชาให้ แต่ผู้หญิงคนดังกล่าวปฏิเสธ พร้อมบอกว่าจะทำเอง พนักงานจึงออกจากห้อง โดยพนักงานของโรงแรมใช้เวลาอยู่ในห้องทั้งหมดประมาณ 6 นาที

จากภาพกล้องวงจรปิด ยังพบว่าหลังจากเวลา 13.57 น.ผู้เสียชีวิตคนอื่นๆ ได้ทยอยนำกระเป๋าเดินทางมาไว้ที่ห้องเกิดเหตุ เพื่อเตรียมเช็คเอาท์ โดยครั้งสุดท้ายที่มีการเข้าไปในห้อง คือเวลาประมาณ 14.17 น. หลังจากนั้นไม่พบว่ามีใครออกมาจากห้องอีกเลย

ขณะที่ผลการตรวจสอบสารปนเปื้อนที่เป็นของเหลในถ้วยชาทั้ง 6 ใบ พบมีสารไซยาไนด์ จึงเชื่อว่ามี 1 ใน 6 ของผู้เสียชีวิต เป็นผู้ลงมือก่อเหตุ โดยใช้สารดังกล่าว ส่วนไซยาไนด์ถูกนำเข้ามาก่อนหรือหลังเดินทางเข้าประเทศไทย ตอนนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบรายละเอียด ส่วนข้อมูลด้านนิติเวชตอนนี้อยู่ระหว่างรอผลชันสูตรพลิกศพอย่าละเอียด รวมถึงรอผลการพิสูจน์หลักฐานในที่เกิดเหตุ ลายนิ้วมือ และดีเอ็นเอ คาดว่าจะทราบผลในช่วงบ่ายวันนี้ โดยตำรวจได้ประสานสถานทูตสหรัฐอเมริกาและสถานทูตเวียดนาม และฝ่ายความมั่นคงของเวียดนามตรวจสอบข้อมูลของผู้เสียชีวิตทั้ง 6 รายแล้ว

ส่วนรายละเอียดการเดินทางเข้าประเทศไทยของผู้เสียชีวิตทั้ง 6 ราย พบว่ามีการเดินทางเข้ามาครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม โดยเดินทางมาจากโฮจิมินห์ จากนั้นบุคคลที่เหลือได้ทยอยเดินทางเข้ามาและแยกย้ายกันเข้าห้องพัก โดยทุกคนเป็นผู้เช็คอินด้วยตัวเอง ไม่มีบุคคลภายนอกเข้าไปในโรงแรม ยืนยันมีผู้เข้าพักทั้งหมด 6 คน จากการตรวจสอบเว็บไซต์จองโรงแรมพบว่ามีการแจ้งเข้าพักทั้งหมด 7 คน โดยคนที่ 7 เป็นน้องสาวของหนึ่งในผู้เสียชีวิตซึ่งเดินทางเข้ามาในวันที่ 4 กรกฎาคมแต่ได้เดินทางกลับไปดานัง ประเทศเวียดนามแล้วตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม คาดว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุดังกล่าว

นอกจากนี้ ตำรวจยังได้พูดคุยกับญาติผู้เสียชีวิต ทราบว่าในกลุ่มผู้เสียชีวิตมีผู้ที่เป็นสามีภรรยาประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างถนนในประเทศเวียดนาม ซึ่งได้ร่วมลงทุน สร้างโรงพยาบาลในประเทศญี่ปุ่น คิดเป็นเงินไทยมูลค่าประมาณ 10 ล้านบาท ตามที่ Ms.Chon Sherine ได้ชักชวน แต่ไม่มีความคืบหน้า ที่ผ่านมามีการทวงถามอยู่ตลอด และก่อนหน้านี้ ได้มีการนัดหมายให้ไปเคลียร์กันที่ประเทศญี่ปุ่น แต่ติดขัดเรื่องการขอวีซ่าจึงเปลี่ยนมาเป็นประเทศไทย และวันนี้จะสอบปากคำญาติ 3-4 คนเพิ่มเติม

พล.ต.ต.นพศิลป์ ยืนยันว่า เหตุที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องส่วนบุคคลของผู้เสียชีวิตทั้ง 6 ราย ไม่มีความเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมต่างชาติหรือแก๊งค์ต่างๆ ที่เลือกมาก่อเหตุในประเทศไทย และการคลี่คลายคดีนี้มีตำรวจ FBI ร่วมตรวจสอบด้วย ยืนยันสำนักงานตำรวจแห่งชาติพร้อมดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวในไทย ส่วนเหตุใดชาวเวียดนามทั้ง 6 คน ถึงเลือกประเทศไทยเป็นพื้นที่เป้าหมาย พล.ต.ต.นพศิลป์ คาดว่าอาจเป็นเพราะประเทศไทยฟรีวีซ่า ทำให้ง่ายต่อการเดินทางเข้าออกประเทศ แต่ย้ำว่าตำรวจมีมาตราการตรวจสอบผู้ที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทย และจะพยายามเข้มงวดให้มากขึ้น




