‘หมูลุงตู่-บ้านอุ๊งอิ๊งค์’ สำรวจระบบจัดการ ‘เงินแจกจากรัฐ’

26 ต.ค. 2567 - 03:01

  • สำรวจครอบครัวตัวอย่างในภาคอีสาน วางแผนใช้เงินอย่างไร หลังได้รับแจกจากรัฐบาล

  • ลงทุนเลี้ยงปศุสัตว์-สร้างบ้าน-รวมเงินสร้างฐานะ แต่กลายเป็นเพียงส่วนน้อย, ส่วนใหญ่เลือกนำไปใช้หนี้

  • ‘เงินหมื่น’ อาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไตรมาส 4/67 ให้ฟื้นตัวได้เพียงเล็กน้อย

Spacebar_Big_City_Explore_the_system_for_managing_government_distribution_funds_SPACEBAR_Hero_990e460433.jpg

นโยบายการแจกเงินในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจของแต่ละรัฐบาล ล้วนต้องการช่วยเหลือประชาชนที่รับความเดือดร้อน รวมทั้งเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ 

เมื่อได้รับเงิน ขึ้นกับแต่ละคน-แต่ละครอบครัวจะนำไปบริหารจัดการอย่างไร หลายคนนำไปใช้จ่ายซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค, ใช้หนี้ทั้งในและนอกระบบ, แจกจ่ายลูกหลาน และเก็บออมไว้ใช้ในยามจำเป็น

ทีมข่าว Spacebar Big City ได้เลือกตัวอย่างลงพื้นที่ไปพูดคุยกับผู้ได้รับสวัสดิการแห่งรัฐในภาคอีสาน บุญโฮม แสงพล อายุ 59 ปี ชาวบ้านใน ต.ห้วยโพธิ์ อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ หนึ่งในประชาชนที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ ‘บัตรคนจน’ ได้รับสิทธิจาก ‘รัฐบาลยุคลุงตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี นำเงินที่ได้รับไปบริหารจัดการใช้จ่ายและแบ่งลงทุนต่อยอด      

บุญโฮม เล่าว่า เริ่มตั้งแต่ได้รับเงินเยียวยาโควิด-19 เมื่อรวมกับสามี ครอบครัวแสงพล มีเงินก้อน 6,000 บาท แบ่งครึ่งเก็บไว้ใช้จ่ายที่จำเป็น ส่วนอีกครึ่งนำไปซื้อลูกหมูตัวเมีย 1 ตัว มาเลี้ยง จนถึงสมัยการบริหารประเทศในรัฐบาลชุดปัจจุบัน มี แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจแจกเงิน 10,000 บาท ในครอบครัวมีสิทธิ์ได้รับเงิน 3 คน รวมเป็นเงิน 30,000 บาท 

ในจำนวนนี้แบ่งใช้จ่ายในครอบครัว 10,000 บาท ส่วนอีก 20,000 บาท นำไปซื้อปูนและกระเบื้องนำมาสร้างบ้านให้ลูกหลานได้มีที่อยู่อาศัย

คอกหมู สร้างจากวัสดุที่หาได้ง่าย มุงหลังคาด้วยสังกะสี คอกเล็กๆกั้นอยู่ 3 คอก มีหมูแม่พันธุ์ 3 ตัว  หมูแม่ลูกอ่อนที่ให้ลูกหมูชุดใหม่  เป็นหมูรุ่นที่ 2 ที่ บุญโฮม เรียกว่า ‘หมูลุงตู่’ เพราะแบ่งเงินที่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยาโควิด-19  ซื้อลูกหมูมาเลี้ยงเป็นอาชีพเสริม หลังจากที่ไม่มีงานรับจ้างเพราะสถานการณ์โควิด -19

Spacebar_Big_City_Explore_the_system_for_managing_government_distribution_funds_SPACEBAR_Photo01_20ce32b431.jpg

ในระยะนั้น ครอบครัวได้รับความเดือดร้อน เมื่อได้รับเงินช่วยเหลือ มีแนวคิดว่าต้องทำให้เงินจำนวนนี้ยังคงอยู่ จึงแบ่งเงินที่ได้รับครึ่งหนึ่ง มาลงทุนซื้อลูกหมูตัวเมียมาเลี้ยง 

จากลูกหมูตัวเมีย 1 ตัว กลายเป็นหมูแม่พันธุ์ที่ออกลูก สร้างรายได้ให้กับ บุญโฮม มาต่อยอดจนกลายเป็นแม่หมู 3 ตัว ที่ผลัดเปลี่ยนกันออกลูกให้ได้ขาย 

ลูกหมูชุดแรก 10 ตัว ขายเป็นลูกหมูพร้อมเลี้ยงในราคาตัวละ 1,000 บาท มีรายได้ชุดแรก 10,000 บาท นำเงินที่ได้ไปใช้จ่าย และแบ่งมาลุงทุนเลี้ยงหมูชุดที่ 2 ได้ลูก 8 ตัว เลี้ยง 7 เดือน ขายนำไปชำแหละ ได้เงินกว่า 40,000 บาท แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัวและนำเงินบางส่วนไปซื้อเป็ดเทศและไก่มาเลี้ยงขาย 

จนถึงปัจจุบัน มีหมูแม่พันธุ์ 3 ตัว ที่ผลัดเปลี่ยนกันออกลูก สร้างรายได้หมุนเวียนกว่า 200,000 บาท

เงินที่ได้จากทุกรัฐบาล คิดว่าเป็นเงินที่รัฐให้ประชาชนนำมาต่อมือต่อตีน คิดว่าเป็นเงินได้เปล่า แล้วแต่ว่าผู้ได้รับจะนำไปจัดการบริหารให้เกิดประโยชน์อย่างไร ถ้าเรานำเงินที่ได้มาใช้จนหมด ก็ไม่เกิดประโยชน์ จึงคิดว่าจะหาซื้อสิ่งของที่มีประโยชน์ต่อชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัว และเป็นที่จดจำเหมือนเป็นเงินขวัญถุง เงินที่ระลึก ที่พอเราเห็นแล้วเราจะนึกถึงผู้ให้ จึงเรียกว่า หมูลุงตู่ บ้านอุ๊งอิ๊งค์

‘บุญโฮม แสงพล’ ชาวบ้าน ต.ห้วยโพธิ์ จ.กาฬสินธุ์

Spacebar_Big_City_Explore_the_system_for_managing_government_distribution_funds_SPACEBAR_Photo04_0d0f2cbffb.jpg

เงินที่ได้จากรัฐบาล แม้ตอนนี้ไม่เหลือในบัญชี เพราะใช้จ่ายไปหมดแล้ว แต่สิ่งที่เราเหลืออยู่ คือหมูแม่พันธุ์ 3 ตัว กระเบื้องและปูนที่เตรียมไว้สร้างบ้านอยู่อาศัย เหมือนเป็นเงินออม ได้เก็บไว้ส่วนหนึ่งเพื่อนำไปต่อยอดซื้อวัว ควาย และเป็ดมาเลี้ยง ที่สำคัญเงินในการเลี้ยงหมูได้ส่งเสียหลานสาวเรียนจนจบในระดับ ปวส.ไปแล้ว 1 คน คิดว่าตัวเองเดินมาถูกทางแล้ว เพราะการนำเงินช่วยเหลือมาต่อยอดลงทุน ช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในยุคข้าวยากหมากแพงได้เป็นอย่างดี

‘บุญโฮม แสงพล’ ชาวบ้าน ต.ห้วยโพธิ์ จ.กาฬสินธุ์

สำหรับการแบ่งเงินมาลงทุนของ บุญโฮม มีความเห็นจาก รองศาสตราจารย์ภูมิสิทธิ์ มหาสุวีระชัย อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่มองว่า เป็นประชาชนในกลุ่มพิเศษ ที่หาได้น้อย ที่จะนำเงินแบ่งไปลงทุนต่อยอดให้ยังคงมีเงินใช้จ่าย แต่ยังพบเห็นไม่มากนัก   

ในส่วนของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่ได้แจกเงิน 10,000 บาท ชุดแรกไปแล้วนั้น จากการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค พบว่า มีความเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจน้อย ยังไม่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคเท่าที่ควร

Spacebar_Big_City_Explore_the_system_for_managing_government_distribution_funds_SPACEBAR_Photo02_d878147fcb.jpg
รองศาสตราจารย์ภูมิสิทธิ์ มหาสุวีระชัย อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ทั้งนี้ เกิดจากปัจจัยหลายด้าน ทั้ง จำนวนเงินที่นำมากระตุ้นเศรษฐกิจยังไม่มากพอจะทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่สำคัญคือประชาชนมีหนี้สินภาคครัวเรือนที่สูงขึ้น เงินที่ได้รับส่วนหนึ่งไม่ได้นำไปใช้ในการอุปโภคบริโภค แต่ต้องนำไปใช้หนี้ 

นอกจากนี้ สภาพเศรษฐกิจที่ยังคงอยู่ในภาวะซบเซา ทำให้ประชาชนไม่มีความมั่นใจในการใช้จ่าย จึงเก็บเงินไว้ก่อน

เมื่อนำเงินเข้ามาในระบบจะเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงระดับเวลาหนึ่ง แต่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงมากน้อยขึ้นอยู่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ผลิต เพราะหากไม่มีการลงทุนเพิ่มจากฝ่ายผลิต ก็สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียงช่วงหนึ่งเท่านั้น การกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นการแจกเงินเป็นอีกมาตรการหนึ่ง เพียงแต่ว่าจะแจกแบบใด แต่ต้องการเห็นรัฐบาลวางแผนแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาวควบคู่กัน แก้ไขปัญหาโครงสร้างในประเทศ มีหลายประเด็นที่ต้องแก้ไข เช่น ภาคอุตสาหกรรมต้องเรียกว่าไม่มีอุตสาหกรรมใหม่

รองศาสตราจารย์ภูมิสิทธิ์ มหาสุวีระชัย อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

นอกจากนี้ ประชาชนในประเทศกว่าร้อยละ 30 ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก แต่กลับไม่ได้รับการพัฒนา, ถูกละเลย คนกลุ่มนี้หากรัฐบาลพัฒนาอย่างจริงจัง ให้ความรู้เรื่องการเพิ่มรายได้ จะกระตุ้นการบริโภคได้อย่างแน่นอน เพราะประชาชนในกลุ่มนี้จะใช้เงินในการบริโภคเป็นหลัก

Spacebar_Big_City_Explore_the_system_for_managing_government_distribution_funds_SPACEBAR_Photo03_ab52af2030.jpg

จากข้อมูลสำรวจดัชนีภาวะเศรษฐกิจครัวเรือนอีสาน ไตรมาส 3/2567 และคาดการณ์ไตรมาส 4/2567 ของศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสาน (ECBER) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พบว่า เศรษฐกิจครัวเรือนอีสานไตรมาส 3/67 แย่ลง เงินหมื่นอาจช่วยเศรษฐกิจไตรมาส 4/67 ฟื้นตัวได้เพียงเล็กน้อย

โดยกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 83.5 เป็นกลุ่มที่มีสิทธิได้รับเงินหรือลงทะเบียนแล้ว ส่วนร้อยละ 16.5 เป็นกลุ่มที่ไม่มีสิทธิหรือไม่ได้ลงทะเบียนรับสิทธิ

เมื่อสอบถามว่า หากได้รับเงิน 10,000 บาท จากรัฐบาลในเฟสแรก หรือเฟส 2 จะนำไปใช้จ่ายเรื่องใดเป็นหลัก พบว่า 

  • ร้อยละ 51 นำเงินไปใช้ในชีวิตประจำวัน
  • ร้อยละ 18 จะนำเงินไปใช้หนี้ 
  • ร้อยละ 16.2 จะนำเงินไปเป็นทุนทำธุรกิจ
  • ร้อยละ 13 จะเก็บเป็นเงินออม

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์


‘หมูลุงตู่-บ้านอุ๊งอิ๊งค์’ สำรวจระบบจัดการ ‘เงินแจกจากรัฐ’