ศุภชัย ใจสมุทร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (อนุทิน ชาญวีรกูล) กล่าวถึงกรณีที่ สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ฟังความคิดเห็นจากนักวิชาการสมาคมราชวิทยาลัย และเครือข่ายภาคประชาสังคม ราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยและสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย มูลนิธิศูนย์วิชาการสารเสพติด YNAC (Youth Network Against Cannabis) ซึ่งเป็นกลุ่มต่อต้านไม่เอากัญชาตั้งแต่ต้น
ศุภชัย กล่าวว่า การที่ไม่นำบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกัญชา อาทิ แพทย์แผนไทย หมอพื้นบ้าน ผู้ป่วยที่ใช้กัญชาเพื่อรักษาตัวเอง หรือแพทย์แผนปัจจุบันที่รู้คุณประโยชน์และนำมารักษาผู้ป่วย มาร่วมแสดงความคิดเห็น ฟังความด้านเดียวไม่รับฟังข้าราชการในกระทรวงสาธารณสุขที่เข้าใจเรื่องกัญชา สร้างความอึดอัดต่อข้าราชการประจำในกระทรวง
การนำกลุ่มต่างๆ ที่ไม่เอากัญชา มาร่วมรับฟังความคิดเห็น เป็นการผิดหลักการรับฟังความคิดเห็นแบบมีส่วนร่วมของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย โดยแทนที่จะฟังความรอบด้านจากบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกัญชาทั้งหมด ข้อมูลผลงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศที่ยอมรับได้ในเรื่องกัญชาที่ใช้เพื่อการรักษาโรค เพื่อสุขภาพ
มีแพทย์แผนไทย ที่เห็นประโยชน์ของกัญชา หมอพื้นบ้านนำกัญชามารักษาผู้ป่วย
มีงานวิจัยจำนวนมากที่เกี่ยวกับข้องกับกัญชามารักษาโรค วิจัยด้านกัญชาเพื่อสุขภาพและทางเศรษฐกิจ การนำบุคคลที่ไม่เอากัญชามาแสดงความคิดเห็นจึงไม่เป็นธรรม เพราะกลุ่มดังกล่าวชอบเอาตำรา เอาทฤษฎี มาข่มเหง บังคับ กระทรวงสาธารณสุขซึ่งเป็นฝ่ายปฏิบัติการในพื้นที่
“ต้องยอมรับว่า กัญชาเป็นนโยบายตั้งแต่สมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาลปัจจุบันที่แถลงไว้เพื่อการแพทย์ เพื่อสุขภาพ และเศรษฐกิจ จู่ๆจะเอาไปเป็นยาเสพติดอีกครั้ง ที่บอกว่าค่ารักษาคนที่ป่วยกัญชาสูงขึ้นจาก 3,000 ล้านบาท มาเป็น 20,000 ล้านบาท ท่านรัฐมนตรีสมศักดิ์ เอาข้อมูลนี้มาจากไหน จาก สปสช.หรือกระทรวงสาธารณสุข ปัจจุบันกัญชาอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติใช้ 30 บาท ได้ มีผู้ใช้อยู่จะตอบคนไข้ผู้เป็นเจ้าของประเทศอย่างไร” ศุภชัย กล่าว
ศุภชัย กล่าวต่อว่า การที่นายอนุทิน สมัยเป็น รมว.สาธารณสุข ได้ออกประกาศเรื่องกัญชาเป็นการดำเนินการตามกฎหมาย ตามนโยบายรัฐบาลและเจตนารมย์ของประมวลกฎหมายยาเสพติดที่ปลดล็อคกัญชาจากการเป็นยาเสพติดของพระราชบัญญัติยาเสพติด 2522 ไม่ใช่การออกประกาศตามอำเภอใจ
“ช่วงนั้นคณะกรรมการยาเสพติดก็เห็นด้วยกับการปลดล็อค ซึ่งนายสมศักดิ์ในขณะนั้นก็เป็นรมว.ยุติธรรม ก็เห็นด้วย ผ่านมาไม่นาน จู่ๆ นายสมศักดิ์ ที่มาเป็นรมว.สาธารณสุข จะออกประกาศเพื่อยกเลิกประกาศดังกล่าวจึงไม่น่าจะชอบด้วยกฎหมายและสวนทางกับนโยบายรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภาเพราะประมวลกฎหมายยาเสพติดมีศักดิ์สูงกว่าประกาศกระทรวงที่รัฐมนตรีเตรียมจะออก จึงฝากท่านได้โปรดพิจารณาทบทวนข้อกฎหมายให้ดีๆอย่าทำผิดกฎหมาย”
ศุภชัย กล่าวอีกว่า สิ่งที่ประชาชนอยากรู้ก็คือตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขก็ได้มีการสนับสนุนส่งเสริมและวิจัยในการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และเห็นประโยชน์จากกัญชา ซึ่งท่านน่าจะสอบถามความเห็นจากกระทรวงสาธารณสุขได้ แต่ดูเสมือนว่าท่านกลับฟังราชวิทยาลัยทางการแพทย์ซึ่งมีอคติกับกัญชามาตั้งแต่ต้นโดยไม่ได้นำความเห็นของหน่วยงานที่ท่านกำกับมาพิจารณาเลย
ขณะนี้ทั้งโลกได้เห็นประโยชน์ของกัญชา หลายประเทศจึงปลดล็อคกัญชาเพิ่มมากขึ้น เช่น เยอรมนี สหรัฐอเมริกาโดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก็ได้ปรับระดับกัญชาจากอยู่ประเภทเดียวกับเฮโรอีน ก็เหลือเพียงเท่ากับยาโด๊ปของนักกีฬา นอกจากนี้ยอดขายกัญชาในประเทศสหรัฐฯ มีมูลค่ามากกว่าสุราและบุหรี่ เหตุผลเพราะคนอเมริกันเห็นว่ากัญชามีประโยชน์จึงลดการดื่มสุราและสูบบุหรี่หันมาใช้กัญชา
ศุภชัย กล่าวด้วยว่า สิ่งที่นายสมศักดิ์ ต้องชี้แจงให้ชัดเจนก็คือ ค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นเป็นการเพิ่มขึ้นจริงหรือไม่ และจำนวนเท่าใดที่เกิดจากผู้ป่วยจากการใช้กัญชา ยุคนี้เป็นยุคที่ข้อมูลข่าวสารเปิดกว้างประชาชนสามารถเข้าถึง ดังนั้นท่านต้องชี้แจงโดยละเอียดไม่ใช่มากล่าวอ้างกันลอยๆ เวลานี้ยาบ้าและบุหรี่ไฟฟ้าเกลื่อนเมือง ท่านควรหามาตรการป้องกันการเข้าถึงของเยาวชนดีกว่า แทนที่จะมาทำเรื่องกัญชา
“จึงขอเรียกร้องว่า 1.ขอให้ฟังความรอบด้านอย่าฟังความด้านเดียวจากฝ่ายที่ต่อต้านกัญชา 2.วิธีการที่ดีที่สุด มีช่องโหว่และว่าง มีการเข้าถึงกัญชาโดยเฉพาะเยาวชนและที่สำคัญต้องออก พ.ร.บ.เพื่อคุมเข้ม ซึ่ง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว อดีต รมว.สาธารณสุข ก็เคยดันผลักดัน พ.ร.บ.แล้ว
แต่วันนี้นายสมศักดิ์ เหมือนทุบโต๊ะสั่งข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข ในอดีตข้าราชการเหล่านี้ก็เห็นด้วย ประเทศไทยไม่ใช่เผด็จการ วันนี้เป็นประชาธิปไตย ทำ พ.ร.บ.เพื่อให้ประชาชน นับ 5 ล้านคนได้ใช้ จึงขอร้องให้คณะกรรมการควบคุมยาเสพติด คณะกรรมการ ป.ป.ส. ช่วยออกมาทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน”