ชะตากรรมของ ‘พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล’ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อน ยังคงเป็นที่น่าติดตามว่า ‘พล.ต.อ.สุรเชษฐ์’ ยังมีลุ้นขึ้นเป็น ‘ผบ.ตร.’ หรือไม่ ท่ามกลางอุปสรรคทั้งเรื่องคดีอาญาและเรื่องวินัยตำรวจที่ยังเป็นชะงักติดหลังอยู่
ล่าสุดวันนี้ (29 เม.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ‘พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช’ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบวินัยกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กับพวกรวม 5 คน ถูกกล่าวหาว่าทำผิดวินัยร้ายแรง จากปมเอี่ยวเว็บพนัน ได้เรียกคณะกรรมการฯ มาหารือเรื่องกรอบการทำงาน
โดยการประชุมครั้งนี้ ถือเป็นการประชุมครั้งแรก หลัง ‘พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์’ รักษาราชการแทน ผบ.ตร. มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการชุดนี้ ขณะที่ก่อนหน้า ‘พล.ต.อ.สุรเชษฐ์’ เคยยื่นหนังสือคัดค้านการแต่งตั้ง คกก. บางคน เนื่องจากบุคคลดังกล่าว เคยเป็นคู่ขัดแย้งกับตัวเองมาก่อน จึงเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม

ประเด็นนี้ ‘พล.ต.อ.สราวุฒิ’ ให้ความมั่นใจว่า ตัวเองในฐานะหัวหน้าคณะทำงานและกรรมการชุดนี้ จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่มีใครมาชี้นำได้ แม้ตัวเองและ ‘พล.ต.อ.สุรเชษฐ์’ จะเป็นพี่น้องร่วมสถาบันกัน เคยทำงานร่วมกันมาก่อน แต่ขอให้มั่นใจว่าความเป็นพี่น้องนี้ ไม่มีผลต่อการตรวจสอบ
ส่วน 1 ใน คกก. ที่ถูก ‘พล.ต.อ.สุรเชษฐ์’ กังขา อยู่ในดุลพินิจของ ‘พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ’ หากพิจารณาแล้วว่ากรรมการคนดังกล่าว ไม่ส่งผลกระทบต่อการตรวจสอบเรื่องนี้ กรรมการคนดังกล่าวจะยังคงทำหน้าที่ต่อไป และหาก ‘พล.ต.อ.สุรเชษฐ์’ ไม่พอใจ สามารถร้องขอความเป็นธรรมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อได้
ส่วนแนวทางและกรอบเวลาการตรวจสอบเรื่องนี้ ‘พล.ต.อ.สราวุฒิ’ อธิบายว่า กฎของ ก.ตร. กำหนดไว้ระยะเวลาไว้ 15 วัน นับจากวันที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการคือวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา
ดังนั้น ทั้ง 5 คน ต้องเข้ามารับทราบข้อกล่าวหาภายในวันที่ 7 พ.ค.นี้ โดยเจ้าหน้าที่จะส่งหนังสือแจ้งให้บุคคลทั้ง 5 รับทราบ ผ่านทางไปรษณีย์ แต่หากบุคคลที่ถูกเรียกติดธุระไม่สามารถเดินมาได้ สามารถส่งหนังสือขอเลื่อนนัดได้

จากนั้น คณะกรรมการจะต้องรวบรวมพยานหลักฐาน และสอบสวนพยานที่เกี่ยวข้อง มีกรอบระยะเวลา ไม่เกิน 270 วัน
‘พล.ต.อ.สราวุฒิ’ ยอมรับ การตรวจสอบเรื่องนี้เป็นเรื่องยาก เพราะมีข้อมูลและหลักฐานจำนวนมากที่ต้องตรวจสอบ ยอมรับ คกก. ชุดนี้ อาจเสร็จไม่ทันก่อนตัวเองเกษียณในช่วงเดือนกันยายนนี้ และหากตรวจสอบเสร็จไม่ทัน ข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งต่อให้ คกก. ชุดต่อไปที่เข้ามาแทนดูแลต่อ ยันไม่ใช่การโยนเผือกร้อน

นอกจากนี้ ‘พล.ต.อ.สราวุฒิ’ ยังยอมรับ รู้สึกตกใจที่ถูก รักษาการแทน ผบ.ตร. เลือกให้เป็นหัวหน้าคณะทำงาน เพราะตัวเองใกล้จะเกษียณแล้ว แต่อาจเป็นเพราะตัวเองเป็นกลาง และน่าจะเพราะมีความจำเป็นจริงๆ จึงให้มารับผิดชอบ ยืนยันไม่ได้มีการพูดคุยหรือสั่งการอะไรเป็นพิเศษ
รวมถึงยังไม่มีการพูดคุยกับ ‘พล.ต.อ.สุรเชษฐ์’ เป็นการส่วนตัว พร้อมประกาศว่าตัวเองพร้อมคุยกับทุกคนที่ติดต่อมา เพราะถือเป็นการให้ความเป็นธรรมกับทุกคน
ช่วงท้ายผู้สื่อข่าวถามว่า ‘พล.ต.อ.สุรเชษฐ์’ ยังมีคุณสมบัติเป็นแคนดิเดตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อันดับ1อยู่หรือไม่ ‘พล.ต.อ.สราวุฒิ’ ยอมรับตอบไม่ได้ เนื่องจากการตรวจสอบทางวินัยและอาญายังไม่แล้วเสร็จ รวมถึงขณะนี่ยังไม่ถือว่าออกจากราชการแล้ว 100% เนื่องขั้นตอนยังไม่ครบถ้วน
ส่วนในวันพรุ่งนี้ (30 เม.ย.) ที่ ‘นายกรัฐมนตรี’ จะเดินทางมาประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อพิจารณาการแต่งตั้งนายพล ‘พล.ต.อ.สราวุฒิ’ บอกว่าคงไม่มีการพูดคุยกับนายกฯ เรื่องการตรวจสอบวินัย ‘พล.ต.อ.สุรเชษฐ์’