จากเหตุการณ์ชายวัย 38 ปี เสียชีวิตปริศนาบนรถโดยสารประจำทางระหว่างจังหวัดนครราชสีมา-เชียงใหม่ สร้างความตกใจในสังคมไม่น้อย เมื่อผลการชันสูตรพบว่าผู้ตายเสียชีวิตจากภาวะติดเชื้อในกระแสเลือโดยสาเหตุมาจาก “แบคทีเรียกินเนื้อคน” หรือ “โรคเนื้อเน่า” ที่มีชื่อทางการแพทย์ว่า Necrotizing Fasciitis แม้เป็นโรคติดเชื้อที่พบไม่บ่อย แต่มีความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตภายในเวลาไม่กี่วัน
กรณีนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของการเสียชีวิตเฉียบพลันที่ควรได้รับการใส่ใจจากระบบสาธารณสุขเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่าง ภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม รวมถึงความท้าทายในการสร้างระบบสุขภาพและสังคมที่ยั่งยืนในอนาคต
แบคทีเรียกินเนื้อคนคืออะไร น่ากลัวแค่ไหน?
แบคทีเรียกินเนื้อ หมายถึงการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังชั้นลึกถึงระดับเนื้อเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ (Necrotizing Fasciitis) มีอาการและอาการแสดงรุนแรง มักมีไข้ ปวดบวม แดงร้อน และอาการอักเสบร่วมด้วย การวินิจฉัยและรักษาในระยะต้นของโรคจะสามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้
— คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
โรคแบคทีเรียกินเนื้อคน สามารถลุกลามอย่างรวดเร็วลงไปถึงชั้นไขมันและเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณติดเชื้อเกิดการเน่าตาย ผู้ป่วยอาจเริ่มจากอาการที่ดูไม่รุนแรง เช่น ปวดแผล บวม แดง และมีไข้ แต่ภายในไม่กี่ชั่วโมงอาการอาจพัฒนาไปสู่ภาวะช็อก ติดเชื้อในกระแสเลือด และเสียชีวิต
โรคแบคทีเรียกินเนื้อคนเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมอย่างไร?
ภาวะโลกร้อนไม่ได้เพียงทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อระบบนิเวศของเชื้อโรคและแบคทีเรีย โดยเฉพาะแบคทีเรียกลุ่มที่ทำให้เกิด “โรคเนื้อเน่า” เช่น Vibrio vulnificus, Aeromonas hydrophila และ Clostridium spp. ซึ่งเจริญเติบโตได้ดี ขยายพันธุ์มากขึ้นในสภาวะที่อุณหภูมิเพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลทำให้ขอบเขตการแพร่กระจายของเชื้อเหล่าก็ขยายตามไปด้วย
มีการศึกษาในต่างประเทศพบว่า พื้นที่ที่เคยไม่พบการติดเชื้อแบคทีเรีย กลับเริ่มมีผู้ป่วยติดเชื้อรุนแรงจากการเดินลุยน้ำ ลุยโคลน หรือเพียงแค่มีบาดแผลเล็กๆ แล้วสัมผัสกับน้ำที่ปนเปื้อนแบคทีเรีย นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของสุขภาพ แต่เป็นภาพสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมที่กำลังทวีความซับซ้อน

แบคทีเรียกินเนื้อคน ผลผลิตของสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป
แม้จะเป็นโรคที่พบได้ยากในไทยมีผู้ป่วยเฉลี่ยราว 15.5 รายต่อแสนประชากรต่อปี แต่โรคเนื้อเน่าจากแบคทีเรียกินเนื้อคนกลับมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 17–49% ขึ้นอยู่กับสุขภาพพื้นฐานของผู้ป่วย ความรุนแรงของเชื้อ และความรวดเร็วในการรักษา
ที่น่าสังเกตคือ จำนวนผู้ป่วยมักเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม-ตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงที่อุณหภูมิสูงและมีความชื้นมาก เนื่องจากเป็นสภาวะที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียหลายชนิด โดยเฉพาะเชื้อ Vibrio vulnificus, Aeromonas hydrophila และ Clostridium spp.
รายงานในยุโรปและสหรัฐฯ ชี้ให้เห็นว่าพื้นที่ชายฝั่งที่เคยปลอดภัยในอดีต เริ่มพบผู้ติดเชื้อในอัตราที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบของ "ภาวะโลกร้อน" ต่อระบบนิเวศของเชื้อโรค
จากแผลเล็กๆ สู่การเสียชีวิตในวันเดียว
ความอันตรายของโรคนี้อยู่ที่ความเร็วในการลุกลามจากการติดเชื้อ แม้จะเริ่มต้นจากแผลเล็กน้อย เช่น รอยขีดข่วนจากของมีคม การเดินลุยโคลน หรือแมลงกัดต่อย แต่หากเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่กระแสเลือด โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ โรคสามารถพัฒนาไปสู่ภาวะช็อกและเสียชีวิตได้ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง
กลุ่มเสี่ยงที่ควรระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยโรคตับแข็ง ผู้รับเคมีบำบัด ผู้ใช้ยากดภูมิ และผู้ที่มีโรคหลอดเลือดเรื้อรัง รวมถึงเกษตรกรที่สัมผัสดินและน้ำโดยตรงในพื้นที่เปียกชื้น
ประเทศไทยเคยพบกรณีการระบาดโรคเนื้อเน่าในจังหวัดน่าน เมื่อปี 2562 ซึ่งชี้ชัดว่าโรคนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว โดยเฉพาะในกลุ่มชาวนาและเกษตรกรที่สัมผัสแหล่งน้ำตามธรรมชาติและมีแผลที่เปิดอยู่
ไม่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น ในปี 2567 ประเทศญี่ปุ่น ก็เคยประสบกับปัญหาประชากรมีอาการป่วยที่อาจถึงแก่ชีวิตซึ่งมีต้นตอจาก “แบคทีเรียกินเนื้อ” (flesh-eating disease หรือ necrotizing fasciitis) โดยสถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติ เผยว่ามีผู้ป่วย 977 รายที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อสเตรปโทคอกคัส ไพโอจีนัส (streptococcus pyogenes) ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับโรคคออักเสบ แต่บางครั้งอาจทำให้ติดเชื้อจนเกิด “ภาวะเนื้อตาย” ทั้งทั้บริเวณแขนขาและยังทำให้อวัยวะหลายส่วนล้มเหลว
ระบบสาธารณสุขพร้อมหรือยังในยุคโรคอุบัติใหม่?
ถึงแม้โรคแบคทีเรียกินเนื้อจะสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดเอาเนื้อตายออกและให้ยาปฏิชีวนะ แต่ความท้าทายคือ การวินิจฉัยในระยะเริ่มต้น ที่มักคล้ายกับโรคทั่วไป เช่น เซลลูไลติส หรือไข้หวัด ทำให้การรักษาล่าช้าเกินไป
กรณีของชายวัย 38 ปีที่เสียชีวิตบนรถทัวร์ ยังสะท้อนอีกหนึ่งช่องโหว่ของระบบ การเข้าถึงบริการสุขภาพฉุกเฉินในระบบขนส่งสาธารณะ โดยเฉพาะบนเส้นทางระยะไกลหรือพื้นที่ห่างไกลที่ขาดอุปกรณ์หรือบุคลากรช่วยชีวิตเบื้องต้น

ความยั่งยืน...ต้องครอบคลุมถึง “ชีวิต” ไม่ใช่แค่ “ต้นไม้”
เมื่อพูดถึง “ความยั่งยืน” หลายคนอาจนึกถึงพลังงานสะอาด หรือการลดขยะพลาสติก แต่หากมองลึกลงไป เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ที่แท้จริง ต้องรวมถึงการสร้างระบบสาธารณสุขที่สามารถปรับตัวรับมือกับโรคที่เปลี่ยนไปตามสภาพอากาศ ภายใต้เป้าหมายที่ 3: การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Good Health and Well-being) เพื่อยุติโรคระบาด เช่น เอดส์ วัณโรค มาลาเรีย และโรคเขตร้อนที่ถูกละเลย รวมถึงโรคติดเชื้อที่เกิดขึ้นใหม่ ภายในปี 2573
เพราะในโลกที่เชื้อโรคเติบโตไวขึ้นจากภาวะโลกร้อน เราไม่อาจรอให้ระบบสุขภาพ “ค่อยๆ พัฒนา” ได้อีกต่อไป
แนวทางป้องกันโรคในโลกที่เชื้อเติบโตเร็วขึ้น
- พัฒนาระบบเฝ้าระวังโรคจากสิ่งแวดล้อม ต้องมีฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศกับโรคติดเชื้อ โดยเฉพาะโรคที่รุนแรงแต่พบไม่บ่อย เช่น แบคทีเรียกินเนื้อ
- ให้ความรู้แก่ประชาชนกลุ่มเสี่ยง เช่น เกษตรกร ผู้ทำงานกลางแจ้ง หรือผู้มีโรคเรื้อรัง ให้รู้จักสังเกตอาการเริ่มต้นของโรค และวิธีป้องกันบาดแผลไม่ให้ติดเชื้อ
- เพิ่มศักยภาพการเข้าถึงการรักษาในพื้นที่ห่างไกล เช่น การจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ หรือพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินในระบบขนส่งทางไกล
- ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคส่วน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ นักวิทยาศาสตร์ และภาคประชาสังคม ควรทำงานร่วมกันเพื่อออกแบบนโยบายรับมือกับภัยสุขภาพจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง
ท้ายที่สุดแล้ว การเสียชีวิตของชายวัย 38 ปี ไม่ควรถูกจดจำเพียงในฐานะ “ข่าวอุบัติการณ์โรค” แต่ควรเป็นเสียงเตือนให้เราเริ่มต้นปรับวิธีคิดเกี่ยวกับสุขภาพในบริบทของสิ่งแวดล้อม เพราะในโลกยุคใหม่ที่โรคเกิดไวและรุนแรงขึ้น เราต้องมีระบบที่ “เร็วกว่าเชื้อโรค” ไม่เช่นนั้น...จะมีอีกกี่รายที่สูญเสียก่อนที่เราจะเปลี่ยนแปลง