กองบังคับการสอบสวนกลาง เหล่ากองทัพทนายดัง นำโดย ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด , ทนายแก้ว มนต์ชัย จงไกรรัตนกุล , ทนายเจมส์ นิติธร แก้วโต , ทนายเกิดผล แก้วเกิด , ทนายรัชพล ศิริสาคร , ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ , ทนายพัฒน์ พร้อมด้วย สายไหมต้องรอด และ มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ได้พากลุ่มผู้เสียหายที่ไปร่วมลงทุนกับบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป มาแจ้งความดำเนินคดีเอาผิดผู้บริหารทุกคน ในความผิดตาม พ.ร.ก.การกู้เงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน , พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และความผิดฐานฟอกเงิน
‘ทนายตั้ม’ ระบุว่า ทีมทนายทั้งหมดจะช่วยกันดูแลผู้เสียหายจนกว่าคดีจะไปถึงศาล หรือผู้เสียหายได้รับเงินเยียวยา ส่วนเจตนาที่ออกมาเคลื่อนไหวร่วมกัน เพราะเกรงว่าบริษัทดังกล่าวเพราะต้องการช่วยเหลือประชาชนที่กำลังเดือดร้อน และเกรงว่าบริษัทดังกล่าวจะยักย้ายถ่ายเททรัพย์ออกไปจนหมด แล้วผู้เสียหายจะไม่ได้รับเงินเยียวยาจริง
อีกทั้งเมื่อวานนี้ (14 ต.ค.) ‘บอสพอล’ ยังแสดงท่าทีผ่านรายการดัง ในลักษณะที่ทำให้เห็นว่าไม่ได้ยอมแพ้ และไม่ได้ยอมรับผิด พร้อมสู้คดีต่อในลักษณะโยนความผิดต่างๆ ให้แม่ข่าย ดังนั้นแม่ข่ายคนไหนที่คิดว่าตัวเองจะซวยแน่ๆ แนะนำให้มาเป็นพยานและให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ ไม่เช่นนั้นอาจเป็นเหมือนสโลแกนของ บอสพอล ที่บอกว่า ‘ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพราะจะนำมาเป็นผู้ต้องหารวมทั้งหมด’
ส่วนประเด็นที่ ‘บอสพอล’ ทิ้งบอมบ์ว่ามีนักการเมือง , ทนายความ และนักร้องเรียน เรียกรับเงินเป็นรายเดือนเพื่อแลกกับการช่วยเหลือบางอย่าง ทนายตั๊ม ยืนยันว่า ในกลุ่มทนายที่ออกมาวันนี้ ไม่มีใครมีพฤติกรรมแบบนั้น ย้ำพวกผมไม่รับเคลียร์ทุกกรณี
นอกจากนี้ ‘ทนายตั้ม’ ยังฝากถึงรัฐบาลว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ระดับประเทศ จึงควรตั้งหน่วยงานหลายเฉพาะกิจขึ้นมาเพื่อเร่งตรวจสอบเอาผิดเรื่องนี้ เช่น ให้ ป.ป.ง. ยึดทรัพย์ เพื่อนำมาเฉลี่ยคืนผู้เสียหาย เพราะเห็นว่าตอนนี้รัฐบาลยังไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวกับทรัพย์สินเลย ย้ำว่า ‘นายกรัฐมนตรี’ ควรเร่งสั่งการเรื่องนี้ได้แล้ว
ขณะที่ ‘เอก สายไหมต้องรอด’ ได้พาผู้เสียหายคนหนึ่งมาปรากฎตัวต่อหน้าสื่อด้วย โดยเขาได้สวมหมวดปิดบังใบหน้าอย่างมิดชิด ‘เอก สายไหม’ บอกว่า ชายคนนี้เคยอยู่ในบริษัท ดิ ไอคอน ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง รู้ข้อมูลระบบหลังบ้านเป็นอย่างดี และทราบว่า ‘บอสพอล’ มีความใกล้ชิดกับผู้ใหญ่ระดับสูงคนหนึ่งในรัฐบาลที่คอยดูแลกันและกัน
โดย ‘เอก สายไหม’ ขอเรียกพฤติกรรมนั้นว่า ‘การเซ่นไหว้เทวดา’ ซึ่งของเซ่นที่ใช้คือ เงินสด ที่แปลงเป็นสกุลเงินดิจิทัล USTD และรู้ถึงขั้นว่าไปเบิกถอนเงินที่ไหน ก่อนนำไปแลกเป็นเงินคริปโต สกุล USTD โดยเงินสกุลนี้มีความเสถียรมาก และคนที่รับแลกเงินนี้เป็นกลุ่มจีนสีเทา ซึ่งรายละเอียดต่างๆ จะแจ้งให้ตำรวจทราบต่อไป
‘เอก สายไหม’ ยังฝากไปถึง ‘แม่ข่ายและบอสบางคน’ โดยเฉพาะ 3 บอสคนสำคัญ ว่า วันนี้คุณคือเหยื่อ วันนี้บอสใหญ่เอาคุณเป็นเหยื่อ และจากสถานการณ์ตรงนี้ เวลานี้ผมเชื่อว่าเหยื่อมักจะไม่รอด เพราะฉะนั้นรีบออกมาให้ข้อมูลกับตำรวจ รวมถึงบอสพอลด้วยเช่นกัน เพราะการที่มีคลิปเสียงหลุดออกมาเชื่อว่า ไม่ได้หลุดจากฝั่งตรงข้ามอยู่แล้ว
“เชื่อว่าเทวดาไม่ปลื้มคุณอยู่แล้ว เพราะเทวดามีความกังวลว่า การเจรจาระหว่างเขากับคุณน่าจะมีการบันทึกเสียงไว้ เพราะฉะนั้นถ้าหากคุณหายไป เขาจะปลอดภัย จึงอยากให้มาร่วมกันให้ข้อมูลว่ามีใครเรียกรับคุณบ้าง”
‘เอก สายไหม’ ย้ำว่า แม้ในรายการเมื่อวานนี้ ‘บอสพอล’ พยายามจะไม่พูดว่าบุคคลดังกล่าวเป็นใคร เพราะเทวดาบอกคุณว่าไม่ต้องพูดอะไร เดี๋ยวจะจัดการให้เอง แต่เชื่อเถอะตอนนี้เทวดาไม่ปลื้มคุณแล้ว ตั้งแต่คุณปล่อยคลิปเสียงออกมา คุณอยู่ในอันตราย
ส่วนเทวดาสีไหน อยู่ในรัฐบาลหรือไม่ และอยู่ในเมืองหรือในป่า ‘เอก สายไหม’ เลี่ยงที่จะลงรายละเอียด แต่บอกให้คร่าวๆ ว่า เทวดามีหลายสี ตอบไม่ได้ว่าปัจุบันเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน เพราะหากบอกคงจะทราบว่าเป็นใคร พร้อมแย้มว่าเทวดามีหลายคน และเทวดายังอ้างความคุ้มครองใน 3 หน่วยงาน คือ ดีเอสไอ , สอท. และ ปคบ. และหลังเปลี่ยนรัฐบาล เทวดายังเป็นคนเดิม เพียงแต่ตอนนี้เทวดาไม่มีอำนาจแล้ว
นอกจากนี้ ‘เอก สายไหม’ ยังเตือนไปถึง ‘บุคคลปริศนา’ ที่พยายามโทรมาหาให้หยุดพูดเรื่องนี้ว่า หากยังไม่หยุดจะเอ่ยชื่อว่าเป็นใคร
