กรมอุตุนิยมวิทยา (18 กันยายน 2567) ออกประกาศเรื่องพายุดีเปรสชัน ฉบับที่ 5 ระบุว่า พายุดีเปรสชันบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีศูนย์กลางมีศูนย์กลางทางด้านทิศตะวันออกของจังหวัดดานัง ประเทศเวียดนาม ประมาณ 550 กิโลเมตร หรือที่อยู่ที่ละติจูด 16.5 องศาเหนือ ลองจิจูด 113.5 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุนี้กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตก ด้วยความเร็วประมาณ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และคาดว่าในช่วงวันที่ 20 – 21 ก.ย. 67 จะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนกลาง
หลังจากนั้นจะอ่อนกำลังลงตามลำดับ ประกอบกับร่องมรสุมกำลังค่อนข้างแรงพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นในช่วงวันที่ 19–23 ก.ย. 67 กับมีฝนตกหนักถึงหนักมาก และมีลมแรงในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขา ใกล้ทางน้ำไหลผ่าน และพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย
อนึ่ง ในช่วงวันที่ 19 – 22 ก.ย. 67 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังแรง โดยทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 2-4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยง
การเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ส่วนเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันและเวลาดังกล่าวไว้ด้วย
สมควร ต้นจาน ผู้อำนวยการกองพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวว่า คาดว่าพายุดีเปรสชันในทะเลจีนใต้ลูกนี้จะทวีกำลังขึ้นเป็นพายุโซนร้อน ในช่วงค่ำวันนี้ (18 ก.ย.) เวลาประมาณ 19.00-20.00 น. ถ้ายังมีกำลังแรงอยู่ และไม่มีตัวแปรอื่นเข้ามา จะเคลื่อนตัวไปทางด้านตะวันตก เมื่อเคลื่อนผ่านประเทศเวียดนาม และสปป.ลาวแล้ว จะเคลื่อนไปยังภาคอีสานตอนบน โดยจะส่งผลกระทบบริเวณจังหวัดหนองคาย บึงกาฬ นครพนม สกลนคร ในช่วงค่ำของวันที่ 20 ก.ย.ก่อนเคลื่อนไปทางจังหวัดอุดรธานี หนองบัวลำภู เลย
แล้วเคลื่อนตัวไปภาคเหนือตอนล่าง บริเวณจังหวัดเพชรบูรณ์ พิษณุโลก ซึ่งจะมีฝนตกปริมาณฝน 50-60 มม. (24 ชม.)
ส่วนเส้นทางเดินพายุลูกนี้ แตกต่างจากพายุไต้ฝุ่น ‘ยางิ’ ที่ขึ้นไปทางตะวันตกค่อนไปทางเหนือมากกว่า ซึ่งทำให้มีฝนตกหนักในภาคเหนือของ สปป.ลาว และเมียนมาร์ และขอบของพายุอยู่บริเวณภาคเหนือตอนบน ประกอบกับพายุสลายตัวช้า กลายเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงและส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย แต่พายุดีเปรสชัน (ที่กำลังจะเป็นพายุโซนร้อน) ลูกนี้ เส้นทางเดินพายุต่ำกว่า
สำหรับพายุดีเปรสชันลูกนี้ขอบของพายุจะส่งผลต่อด้านตะวันออกของภาคเหนือได้ ที่น่าเป็นห่วงคือ จังหวัดน่าน แพร่ อุตรดิตถ์ แม้ความหนักของฝนไม่เท่าใกล้ศูนย์กลาง แต่เป็นบริเวณที่มีฝนตกหนักก่อนหน้านี้ ทำให้ดินอุ้มน้ำไว้มาก หากฝนตกต่อเนื่องเพียงวันเดียว 30-50 มม. ซ้ำบริเวณเดิมก็มีความเสี่ยงเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากได้
เช่นเดียวกับภาคอีสาน โดยเฉพาะหนองคาย บึงกาฬ น่าเป็นห่วง ถ้าปริมาณฝนเกิน 60 มม.ก็อาจเกิดน้ำท่วมซ้ำเติมพื้นที่เดิมได้
ส่วนจังหวัดอุทัย พิจิตร พิษณุโลก พิจิตร ที่คาดว่าหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงจะเคลื่อนผ่าน คาดว่ายังสามารถรับน้ำฝนได้ เพราะก่อนหน้านี้ฝนไม่มาก แต่ถ้าฝนตกสะสมติดต่อกัน 3 วัน ปริมาณฝน 50-60 มม.ก็มีความเสี่ยงเกิดน้ำท่วมได้
อีกปัจจัยที่น่าเป็นห่วงคือมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งเป็นลมประจำฤดูฝนในช่วงนี้มีกำลังแรง และมีร่องมรสุมพาดผ่าน เมื่อรวมทั้ง 3 ปัจจัย จะยิ่งทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มมากขึ้น นอกจากภาคเหนือและภาคอีสานแล้ว ภาคตะวันออก และภาคใต้ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน