ยังไม่จบ ! หมอธีระวัฒน์ ยัน ผลกระทบจาก ‘วัคซีนโควิด 19’ มีเพียบ แต่ถูกปิดบัง

4 พ.ค. 2567 - 01:00

  • ศ.นพ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ระบุ วัคซีนโควิด 19 ส่งผลกระทบทั้งระยะสั้น และระยะยาว

  • เผยหลักฐานยืนยันพบ White Clot หรือ แท่งย้วยสีขาว หลังฉีดวัคซีนโควิด 19 ทำให้เกิดการอักเสบและเกิดการเปลี่ยนแปลงของโปรตีนที่อยู่ในเนื้อเยื่อ นำไปสู่โรคอัลไซเมอร์ได้

  • ก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงมากมาย เช่น ภูมิคุ้มกันแปรปรวน สมองอักเสบ สมองเสื่อม พาร์กินสัน กล้ามเนื้ออ่อนแรง ฮอร์โมนแปรปรวน โรคมะเร็ง โรคจิตประสาท โรควัวบ้า

Vaccine-COVID19-danger-body-SPACEBAR-Hero.jpg

“เราจะรอดพ้นจากการเป็นซอมบี้ได้อย่างไร”

ศ.นพ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและระบบประสาท เปิดประเด็นด้วยการตั้งคำถาม ในงานเสวนาหัวข้อ “อันตรายจากวัคซีน ร้ายแรงกว่าที่คิด” ที่จัดโดย วิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต หลังได้เผยแพร่ข้อมูลและความคิดเห็นเกี่ยวกับผลกระทบของการฉีดวัคซีนโควิด 19 มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งทางเฟซบุ๊ก และทางสื่อ จนเกิดข้อถกเถียง กระแสดราม่า ทัวร์ลง และการโต้แย้งจากหลายหน่วยงานสาธารณสุข ที่ออกมายืนยันว่า วัคซีนโควิด 19 นั้นได้มาตรฐานและปลอดภัย 

ยืนยันว่า ‘แท่งย้วยสีขาว’ ที่พบในมนุษย์เป็นสิ่งผิดธรรมชาติและมีอยู่จริง

เรื่องที่สร้างความฮือฮาอย่างมาก คือ White Clot หรือ แท่งย้วยสีขาว ที่ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567 โดยข้อมูลส่วนหนึ่งระบุว่า “พบแท่งย้วยสีขาว (white clot) ในกลางปี 2021 โดยที่ก่อนหน้านี้ไม่เจอ แม้จะมีโควิดระบาด และพบในคนป่วยทั้งที่ยังมีชีวิต จากการคีบออกมาจากเส้นเลือดหัวใจรวมทั้งปนอยู่ในน้ำในช่องท้องที่เห็นได้จากท่อระบายน้ำจากช่องท้อง และในคนป่วยหลังตายทันที โดยในปี 2023 มี white clot ในศพ ประมาณ 20%  และ 73% หรือ เจ้าหน้าที่ 197 คน ที่พบแท่งยาวสีขาวนี้ในศพ และอีก 72 คนหรือ 27% ไม่พบ โดยทั้งหมดพบในช่วงประมาณกลางปี 2021 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน ทั้งสิ้น”

ล่าสุด ศ.นพ.ธีรวัฒน์ กล่าวในงานเสวนาว่า “ช่วงประมาณ 3-4 วันนี้เรื่องของแอสตร้าฯ และลิ่มเลือดมันเกิดขึ้น เนื่องจากบริษัทถูกฟ้องและแพ้คดี เรื่องถึงแดงขึ้นมา ดังนั้นขณะนี้ทางการในประเทศไทยพูดถึงแต่ลิ่มเลือด และพูดถึงไฟเซอร์ และพูดว่าขณะนี้ไม่ได้ใช้ ลักษณะตรงนี้ไม่พอ เพราะว่าเราทราบกันดีแล้วว่าวัคซีนโควิด โดยเฉพาะ mRNA ความจริงแล้วมีผลระยะยาวมากกว่า เราคงไม่ได้พูดแค่ลิ่มเลือดอย่างเดียว และไม่ได้พูดถึงผลกระทบระยะสั้นอย่างเดียว แต่เราพูดถึงผลระยะยาว ดังนั้นตอนนี้ ข้อมูลหลักฐานที่ทั่วโลกมี พูดถึงวัคซีน mRNA ซึ่งเราถือว่าปรับแต่ง ทำให้วัคซีนมีความเสถียรมากขึ้นและประการสำคัญคือมันอยู่ในอนุภาคนาโนไขมัน ซึ่งมันสามารถเข้ากับมนุษย์ได้ทุกอวัยวะ และประการที่สาม มันถูกปนเปื้อนด้วยวิธีการผลิตจะมีเรื่องของ DNA ตัวยีนต่างๆ ซึ่งขณะนี้ก็พิสูจน์แล้วเช่นกันว่ามันสามารถเข้าเซลล์ได้แล้ว และเสี่ยงเข้าไปใน DNA ของมนุษย์ หรือโครโมโซมของมนุษย์ และพิสูจน์แล้วเช่นกันว่าสามารถสร้างโปรตีนบังคับออกมา แค่สร้าง Spike Protein (โปรตีนหนาม) ออกมาก็แย่แล้ว แต่มันยังสร้างโปรตีนอย่างอื่นอีก ซึ่งตรงนี้จะมีอันตรายแค่ไหน ขณะนี้ยังบอกไม่ได้ แต่พบว่ามีการสร้างโปรตีนอย่างอื่น

ในกรณีนี้โปรตีนหนามจะอยู่ในตัวเราตลอด เพราะมันถูกบังคับให้สร้างมากขึ้น แล้วมันจะโผล่ออกมาที่ผิวเซลล์เพราะฉะนั้นในร่างกายมนุษย์ก็จะเห็นว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม และเป็นเชื้อโรค ก็จะพยายามทำลาย ความพยายามทำลาย ร่างกายเราก็เสียหาย ผิวของเซลล์ก็ถลอกขึ้น 

และมากกว่านั้นก็คือจากการชันสูตรศพกว่า 100 รายในประเทศเยอรมนี พบว่าโปรตีนหนามสามารถแทรกซึมลึกเข้าไปในเนื้อเยื่อ ทำให้เกิดการอักเสบและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโปรตีนที่อยู่ในเนื้อเยื่อ และโปรตีนที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นก็ทะลักออกมาจากผิวเซลล์ ตัวที่ออกมาเป็นโครงสร้างบิดเกลียว เป็นโปรตีนอะมิลอยด์ ซึ่งเป็นคนละชนิดที่เกิดอัลไซเมอร์ แต่ก็ไปเหนี่ยวนำให้เกิดโปรตีนที่ทำให้เกิดอัลไซเมอร์จริงๆได้

ปรากฏการณ์ White clot พิสูจน์แล้วว่าทะลักออกมา จากตัวเนื้อเยื่อของผิวหลอดเลือด เมื่อทะลักมาแล้วก็ไปทำปฏิกิริยากับสารโปรตีนที่อยู่ในเลือด ขณะเดียวกันก็หลอมตัวเป็นแท่งหล่อมีลักษณะยืดเหนียวผิดปกติ และทนเอนไซม์ที่ย่อยโปรตีนได้

ด้าน สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ชี้แจ้งว่า “รูปสิ่งแปลกปลอมที่อ้างถึงไม่ใช่ความผิดปกติของเลือดที่เกิดจากการฉีดวัคซีน mRNA แต่อย่างใด เป็นเพียงการตกตะกอนของโปรตีนส่วนประกอบของเลือดที่เกิดขึ้นภายหลังการตาย (ลิ่มเลือดภายหลังการ ตาย, postmortem blood clot) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่พบได้เป็นปกติในผู้เสียชีวิต และพบ มาตั้งแต่ก่อนมีการระบาดหรือมีการใช้วัคซีนโควิด 19 โดยปรากฎการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจาก เมื่อมีการ เสียชีวิต ระบบหมุนเวียนของเลือดรวมทั้งระบบอื่น ๆ ในร่างกายจะหยุดทํางาน จากนั้นเม็ดเลือดแดงจะมีการ ตกตะกอนตามแรงโน้มถ่วงของโลกไปก่อนแยกออกมาจากน้ำเลือด (Plasma) ซึ่งในน้ำเลือดยังมีโปรตีนที่ทําหน้าที่ ช่วยในการแข็งตัวของเลือด (Fibrinogen) คงเหลืออยู่และเกิดการแข็งตัวขึ้นตามธรรมชาติ เป็นโปรตีนเส้นใย (Fibrin clot) ทําให้เกิดเป็นลิ่มโปรตีนสีขาวลักษณะดังกล่าว”

Vaccine-COVID19-danger-body-SPACEBAR-Photo01.jpg
Photo: ศ.นพ. ธีระวัฒน์ กล่าวพร้อมโชว์ข้อมูล ในงานเสวนา “อันตรายจากวัคซีน ร้ายแรงกว่าที่คิด”

“เมื่อยอมรับว่ามี White clot เกิดขึ้น ก็หมายความว่า กระบวนการต่างๆที่เป็นขั้นเป็นตอนอย่างนี้เป็นความจริง เพราะฉะนั้นจึงไม่มีการยอมรับ และกล่าวว่า White clot เป็นเรื่องเท็จ เพราะถ้ายอมรับว่าเป็นเรื่องจริงก็หมายความว่ากระบวนการทั้งหมดผิดทั้งสิ้นเลย มันก็จะกระทบไม่ใช่แค่วัคซีนโควิด mRNA อย่างเดียว แต่จะกระทบเทคโนโลยี mRNA ที่จะนำไปใช้ในวัคซีนโรคอื่นๆอีก”

ศ.นพ. ธีระวัฒน์ กล่าว

นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ตั้งข้อสังเกตถึงการปิดบังข้อมูลเกี่ยวกับโควิด 19 ต่อประชากรทั้งโลก พร้อมนำภาพข่าว มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เผยว่าเฟซบุ๊กถูกสั่งให้ปิดข้อมูลโควิด-19 และหลายข่าวถูกบล็อกในช่องทางต่างๆ

นอกจากนี้ยังชี้ว่าข้อมูลของหน่วยงานรัฐในไทย มีความขัดแย้งกัน สำหรับกรณีผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีนโควิด 19 โดย “กรมควบคุมโรคแถลงเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2567 ว่า ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2564 – 31 ธันวาคม 2566 มีคนไทยเสียชีวิตด้วยวัคซีนทั้งประเทศ เพียง 5 คนเท่านั้น” ขณะที่ “สปสช. รายงานว่ามีผู้ยื่นคำขอและเข้าเกณฑ์ว่าได้รับผลกระทบจากวัคซีน จนเสียชีวิตและทุพพลภาพ 5,482 ราย” ซึ่งมากกว่าที่กรมควบคุมโรคประเมิน 5,383% 

ปัจจุบันงานวิจัยเริ่มเผยแพร่ออกมามากขึ้นว่าวัคซีนมีผลข้างเคียงและอันตรายกว่าที่คาดการ์ณเอาไว้ ทั้งในต่างประเทศและในประเทศไทย อย่างกรณีล่าสุด “ศาลอังกฤษตัดสินให้ใช้ค่าเสียหายผู้เสียชีวิต 50 ราย 4,600 ล้านบาท (รายละ 92 ล้านบาท) ในการฉีดแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งมีการยอมรับว่าสามารถทำให้เกิดการอุดตันจากลิ่มเลือดได้”

Vaccine-COVID19-danger-body-SPACEBAR-Photo04.jpg
Photo: นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก ม.รังสิต ในงานเสวนา “อันตรายจากวัคซีน ร้ายแรงกว่าที่คิด”

นอกจากนี้ นายปานเทพยังตั้งคำถามว่า “งานวิจัยผลกระทบของวัคซีนมีไม่เกิน 14-42 วัน แต่ในความเป็นจริง ผลกระทบอาจมีมากกว่านั้น” พร้อมเปิดข้อมูลตัวเลขผู้เสียชีวิต ในช่วงของการระบาดโควิด 14 และหลังการระบาด สังเกตว่าประชาชนไทยตายมากขึ้นผิดปกติหลังปีที่ฉีดวัคซีน โดยพบว่าในปี 2564 มีผู้เสียชีวิต 548,067 ราย และในปี 2565 ซึ่งการแพร่ระบาดเบาลงแล้ว มีผู้เสียชีวิต 590,174 รายซึ่งมากกว่าปี 2564 ที่มีการระบาดมากกว่า

สำหรับประเด็นเกี่ยวกับ White clot นายปานเทพ แย้งการโต้ของรัฐว่า

  1. ‘องค์ประกอบ’ ของแท่งย้วยขาว (White Clot) ในหลอดเลือดที่ส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ มีความ ‘ผิดปกติ’
  2. ‘ปริมาณศพ’ ที่พบแท่งย้วยขาว มีจำนวนมากผิดปกติ
  3. พบได้ในคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ‘แสดงว่าอาจเป็นสาเหตุการเสียชีวิต’ ได้

พร้อมเผยความเห็นของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดเส้นประสาท นพ.วิชาญ เกิดวิชัย คณบดีกิตติคุณ วิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก ม.รังสิต กล่าวว่า “การชันสูตรพลิกศพแล้วพบ White Clot ควรนำมาตัดส่องกล้องจุลทรรศน์ดู ถ้าพบว่าเป็น Clot ที่เกิดก่อนเสียชีวิต น่าเชื่อได้ว่าเป็นผลจากการติดเชื้อ หรือจากวัคซีน...”

ผลกระทบของวัคซีนโควิด 19 ที่น่ากังวล

ในงานเสวนา ศ.นพ.ธีรวัฒน์ โชว์หลักฐานข้อมูลเกี่ยวกับผู้ป่วยและผู้เสียชีวิต ที่คาดว่าเป็นผลกระทบจากการฉีดวัคซีนโควิด 19 ทั้งในไทยและต่างประเทศหลายราย พร้อมกล่าวว่า มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ในวารสาร แต่มีบางงานที่เผยแพร่การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ และมีกรณีผู้ที่มีอาการหลังฉีดวัคซีน เช่น

  • ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันที่ต่อสู้กับเชื่อโรคอ่อนด้อยลง เช่น คนอายุ 20-30 เป็นงูสวัด เพราะระบบต้านภูมิคุ้มกันเสียหาย
  • เกิดภูมิคุ้มกันแปรปรวน
  • ตาเหล่ ตาเข ภาพซ้อน น้ำรั่วออกมาจากหลอดเลือดสมอง สมองบวมเสียชีวิต
  • อาการทางจิต เกิดคุ้มคลั่ง ชักไม่หยุด
  • หัวใจวาย แล้วเปลี่ยนหัวใจ สมองอักเสบ ชักไม่หยุด ก้านสมองอักเสบ
  • พบก้อนแข็ง เมื่อสแกนพบการอักเสบทั่วตัว อักเสบที่กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ข้อ น้ำเหลือง
  • พบโปรตีนหนามในชั้นไขมัน
  • พบโปรตีนหนามในต่อมลูกหมาก
  • หัวใจวาย กล้ามเนื้ออ่อนแรง ขยับแขนขาไม่ได้ 
  • ก่อให้เกิดมะเร็ง ทำให้มะเร็งเติบโตเร็วและแพร่กระจายเร็ว
  • โรคสมองเสื่อม พาร์กินสัน เป็นต้น

“วัคซีนคือร่างทรงโควิด แต่เก่งกว่าโควิด ถูกปรับแต่งให้เก่งขึ้น เมื่อเกิดวัคซีน ตัวโปรตีนหนามจะเข้าไปในตัวรับในมนุษย์ แยกเป็นอักเสบ ตาย อีกทางไม่อักเสบ ถ้าฉีดเข้าไปแล้ว อาจไม่เกิดผล”

ศ.นพ. ธีระวัฒน์ กล่าว

Vaccine-COVID19-danger-body-SPACEBAR-Photo02.jpg
Photo: ศ.นพ. ธีระวัฒน์ กล่าวพร้อมโชว์ข้อมูล ในงานเสวนา “อันตรายจากวัคซีน ร้ายแรงกว่าที่คิด” มีผู้เข้าฟังจำนวนมาก

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าวว่า “ที่พูดในวันนี้ไม่มีอคติ เป็นข้อมูลวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น คำถามที่เราถามคือในเมื่อมีหลักฐานชัดเจน เกี่ยวกับ mRNA และแอสตร้าเซนเนก้า ทำไมไม่นำหลักฐานเหล่านี้มาควบรวมแล้วพิจารณาว่าสมควรหรือไม่ที่เรายังคงให้มีการใช้วัคซีนโควิดอยู่ หรือแม้กระทั่ง วัคซีนเทคโนโลยีเดียวกันกับโรคอย่างอื่น ประการที่สองต้องมีการเยียวยารักษาคนที่ได้รับผลกระทบ อันนี้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าได้รับผลกระทบระยะยาวและไม่ได้เกี่ยวกับวัคซีนทั้ง ๆ ที่เมื่อเริ่มฉีดวัคซีนแล้วก็เริ่มสุขภาพไม่ดี มีปัญหาสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ พาร์กินสันก็ตาม มีความผิดปกติของระบบประสาท เส้นประสาท มีเรื่องกล้ามเนื้อ นอนไม่หลับ อารมณ์เปลี่ยนแปลง โรคจิต โรคประสาท ที่สำคัญ คือพิสูจน์แล้วว่าทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ และในต่างประเทศพบว่าทำให้เกิดโรควัวบ้าได้ หลังฉีดไป 2 สัปดาห์ และเสียชีวิต 3 เดือนครึ่งถึง 5 เดือนซึ่งเร็วกว่าโรควัวบ้าธรรมดา คณะผู้รายงานบอกว่าแท้ที่จริงอาจเป็นไปได้ว่ามันอาจจะมีการโน้มนำให้เกิดโรควัวบ้าในมนุษย์มากขึ้นอีกหรือไม่”

“จริง ๆ มีสิทธิ์ฟ้องร้องได้เพราะในข้อสัญญากำหนดไว้ว่ากระทรวงสาธารณสุขต้องรับผิดชอบในการเฝ้าดูอาการต่างๆเพื่อความปลอดภัยของประชาชน คนที่ได้รับผลกระทบสามารถฟ้องบริษัทได้เช่นกัน”

ศ.นพ. ธีระวัฒน์ กล่าว

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าวว่า สำหรับแนวทางการรักษาสามารถใช้การรักษาด้วยแผนแพทย์ไทย แผนตะวันออก ร่วมกับแผนปัจจุบัน

Vaccine-COVID19-danger-body-SPACEBAR-Photo03.jpg
Photo: บริการตรวจและรักษาฟรี โดยแพทย์แผนตะวันออก ม.รังสิต

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์