เรียกว่า สมศักดิ์ศรี ‘หน้าหนาว’ จริงๆ สำหรับ อากาศฤดูหนาวในเมืองไทยปีนี้ ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ท้ายปี 2567 มีลมเย็นๆ ให้ฉ่ำหัวใจมาตลอด หลายคนถึงกับต้องรีบคว้าเสื้อไหมพรมสุดเก๋มาใส่ให้เข้ากับแฟชั่นหน้าหนาว เพราะกลัวว่า ยังไม่ทันได้ฟิน ลมหนาวก็หายไปเสียแล้ว เหมือนกับปีก่อนๆ
ทว่า ‘ฤดูหนาว’ รอบนี้ กลับยาวนาน มีลมเย็นมาให้สัมผัสอย่างต่อเนื่อง แม้แดดจะร้อนไปบ้าง แต่ก็ให้อภัย เพราะลมเย็นๆ นี่มันชื่นใจจริง
แต่ใครจะรู้ว่า ย่างเข้าปีใหม่ 2568 ความหนาว ‘ยังไม่สิ้นสุด’ โดยเฉพาะกลางเดือนมกราคม อยู่ดีๆ มวลอากาศเย็นจากประเทศจีน ก็ทักทายเข้ามาแบบสุดขั้ว ทำเอาอุณหภูมิที่ ‘กรุงเทพมหานคร’ ลดลงจนถึง 17 องศาฯ แถมยังหนาวติดต่อกันหลายวันอีกด้วย นี่ยังไม่นับรวมต่างจังหวัดโดยเฉพาะภาคเหนือและภาคอีสานที่บรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ถึงกับร้องโอดโอย “ขอไม่อาบน้ำสัก 2 วันได้ไหมลูก”
ไม่เพียงเท่านั้น ‘กรมอุตุนิยมวิทยา’ ยังบอกอีกว่า ฤดูหนาวยังไม่สิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้ ผู้อ่านสามารถดื่มด่ำให้เต็มที่ไปจนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เลย
โอ้โห! แล้วจะไม่ให้เรียกว่า ‘สมศักดิ์ศรี’ ได้อย่างไร ถ้าจะหนาวฉ่ำ หนาวนานขนาดนี้
ดีใจกันได้ไม่นาน ก็รู้สึก ‘เสียวสันหลังวาบ’ เพราะ ‘ฤดูหนาว’ ทำถึงได้ขนาดนี้ แล้ว ‘ฤดูร้อน’ พวกเราจะโดนเอาคืนจนตับแลบหรือไม่?
เรื่องนี้ ‘กรมอุตุนิยมวิทยา’ คาดการณ์ว่า อากาศจะไม่ร้อนแรงเหมือนปีที่แล้ว เนื่องจากจะมีฝนฟ้าคะนองและความชื้นสูง แต่บางวันอาจจะอากาศร้อนจัดได้เป็นช่วงๆ ซึ่งน่าจะไม่ร้อนจัดติดต่อกันเหมือนปีที่ผ่านมา เนื่องจากสถานการณ์ของ ‘เอนโซ’ บ่งชี้ว่า ในช่วงเดือน ‘กุมภาพันธ์ ถึง พฤษภาคม’ 2568 ยังมีโอกาสเป็น ‘ลานีญา’ อ่อนๆ จึงมีผลต่อกระแสลมที่พัดปกคลุม ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น ในช่วงดังกล่าวจึงยังพอมีความชื้นอยู่บ้าง ทำให้เกิดฝนฟ้าคะนองเป็นระยะ แม้ว่าในเดือน ‘มีนาคม-เมษายน’ จะเป็นช่วงที่อากาศร้อนจัดมากที่สุด
แต่อย่าพึ่งเบาใจไป เพราะ ‘อ.สนธิ คชวัฒน์’ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย วิเคราะห์ว่า ปรากฎการณ์ ‘Polar Votex’ ปล่อยอากาศหนาวเย็นสุดขั้วไปยังประเทศในเขตหนาวและเขตอบอุ่นมากขึ้นนั้น เริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อปลายปี 2565 และรุนแรงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปลายปี 2567 โดยมวลอากาศเย็นจะแผ่ลงมาในประเทศเขตร้อน อย่างจีนที่หนาวจัดในเวลานี้ ทำให้ประเทศไทยหนาวเย็นผิดปกติ นั่นก็เพราะ ‘โลกร้อน’ ทำให้ ‘โลกรวน’
ซึ่งในปีนี้ โลกร้อนขึ้นมากกว่า 1.5 องศาฯ ก่อนยุคปฎิวัติอุตสาหกรรม จึงทำให้เกิดอากาศแบบสุดขั้ว ฤดูหนาวก็หนาวสุด ฤดูร้อนก็ร้อนสุด อุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้น ทำให้ ‘Polar Votex’ ที่ขั้วโลกเหนืออ่อนกำลังลง มวลอากาศอุ่นจึงเคลื่อนตัวไปทางเหนือ กดให้กระแสลม ‘Polar Jet Stream’ เบี่ยงทิศทางออกจากเส้นทางปกติ ทำให้แถบ ‘Polar Vortex’ ได้แผ่ขยายลงมายังทางตอนใต้ จนถึงประเทศจีน จึงทำให้ประเทศจีนมีอากาศหนาวเย็นสุดขั้ว
อุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้น นอกจากนี้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแบบ ‘สุดขั้ว’ ได้บ่อย ยังทำให้เกิดความแปรปรวนของสภาพสภาพอากาศอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น “อากาศร้อนจัด แห้งแล้ง พายุรุนแรง ฝนตกหนักกว่าปกติ หนาวเย็นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รวมถึงภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงและบ่อยมากขึ้นเรื่อยๆ”
‘ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ’ บอกอีกว่า ในปี 2567 ประเทศไทยอยู่สภาวะ ‘ลานีญา’ กำลังแรง มีฝนตกและน้ำท่วมหนัก ขณะที่ในเดือน ‘เมษายน-พฤษภาคม’ กลับมีอุณหภูมิสูงสุดถึง 44 องศาฯ
“ไม่แน่ว่า ฤดูร้อนปี 2025 ลานีญาอ่อนกำลังลง เข้าสู่ภาวะเป็นกลาง ระหว่างลานีญาและเอลนีโญ ประเทศไทยอาจร้อนสุดขีดก็ได้”
เชื่อว่า ‘ผู้อ่าน’ อาจจะขนลุกแล้ว ไม่ใช่เพราะ ‘หนาว’ แต่เพราะระแวงกับความร้อนในช่วงเมษายนที่จะถึงนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า เพราะ ‘สภาวะโลกร้อน’ ในปัจจุบัน เป็นตัวแปรสำคัญ ที่ทำให้สภาพอากาศบนโลกแปรปรวนเช่นนี้ ซึ่ง ‘โลกร้อน’ ไม่ได้ส่งผลแค่ให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น แต่ยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในธรรมชาติและภูมิอากาศที่ไม่แน่นอน เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศและกิจกรรมของมนุษย์ที่สะสมมานานหลายทศวรรษ
แม้ยังไม่มั่นใจว่า สรุปแล้ว ‘ฤดูร้อน’ นี้ เราจะโดน ‘เอาคืน’ ด้วยอากาศร้อนสุดขีดหรือไม่ แต่พวกเราทุกคนยังสามารถช่วยกันป้องกันและแก้ไขปัญหาโลกร้อนคนละเล็กคนละน้อย เพื่อป้องกันการโดน ‘เอาคืน’ จากโลกของเราไปมากกว่านี้