1.สก๊อตต์ ปาร์คเกอร์, เอเอฟซี บอร์นมัธ
กุนซือหนุ่มเลือดผู้ดีไฟแรงพาบอร์นมัธเลื่อนชั้นขึ้นมาได้สำเร็จ แต่กลับไม่ได้รับงบเสริมทัพเท่าที่ควร ทำให้พวกเขาเป็นทีมน้องใหม่ที่ผู้เล่นหลายคนแทบจะไม่มีประสบการณ์ในลีกสูงสุดมาก่อน ด้วยความตื่นสนามของผู้เล่น ก็ส่งผลให้แทคติกเกมรับเหนียวแน่นที่เคยเป็นจุดเด่นในลีกแชมป์เปี้ยนส์ชิพใช้ไม่ได้ผลบนเวทีพรีเมียร์ลีก เดอะเชอร์รีส์โดนคู่แข่งถลุงประตูเป็นกอบเป็นกำ จนในวันที่ 30 สิงหาคม 2565 พวกเขาแพ้ลิเวอร์พูลด้วยสกอร์มโหฬาร 9-0 เจ้าของทีมก็อดรนทนไม่ไหว ปาร์คเกอร์ มีอันต้องเก็บข้าวของออกจาก วิทาลิตี้ สเตเดียม แทบจะในทันที 2.โทมัส ทูเคิล, เชลซี เอฟซี
นี่คือการปลดผู้จัดการทีมที่น่าฉงนที่สุดครั้งหนึ่งบนเวทีพรีเมียร์ลีกเลยก็ว่าได้ ด้วยผลงานระดับอ๋องที่ทูเคิลทำไว้ในฤดูกาลก่อนหน้า อย่างการคว้าถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และ ฟีฟ่า คลับ เวิร์ลดคัพ กลับดูจะไม่เพียงพอให้เก้าอี้เขามั่นคงขึ้นเลย เพราะเมื่อผลงานในต้นฤดูกาลแย่ลงติดๆ กันหลายนัด เชลซีที่มีเจ้าของใหม่อย่างกลุ่มทุนอเมริกาที่นำโดย ท็อดด์ โบห์ลี ก็ไม่รอช้าสั่งปลดทูเคิลทันทีในวันที่ 7 กันยายน 2565 หลังบุกพ่าย ดินาโม ซาเกร็บ ในเกมยุโรป ท่ามกลางความช็อคของแฟนบอลทั่วโลก ซึ่งก่อนเปิดฤดูกาลโบห์ลี ก็ไล่ล้างบางลูกน้องเก่า ‘เสี่ยหมี’ เจ้าของเดิมจนหมดสิ้น ก็ไม่แน่ว่าการปลดในครั้งนั้น อาจจะเกิดจากสาเหตุที่นอกเหนือจากเหตุผลในสนามอย่างเดียวก็เป็นได้ 3.บรูโน ลาจ, วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส
หลังผ่านไปอีกไม่ถึงเดือน ก็ถึงคิวของนายใหญ่ชาวโปรตุเกสของ วูล์ฟ อย่างบรูโน ลาจ ที่แม้ทีมจะเต็มไปด้วยนักเตะคนบ้านเดียวกันจากแดนฝอยทอง ก็ไม่สามารถช่วยให้ผลงานของทัพหมาป่ากระเตื้องขึ้นได้เลย โดยเหตุผลหลักๆ มาจากการที่ทีมขาดแคลนศูนย์หน้าตัวเป้า เพราะแนวรุกตัวหลักอย่าง ราอูล ฆิเมเนซ โดนอาการบาดเจ็บลักพาตัวไปเป็นระยะๆ ศูนย์หน้าตัวใหม่อย่าง กอนซาโล กูเอเดส ก็ไม่สามารถปรับตัวกับความหนักของเกมพรีเมียร์ลีกได้เลย ทีมจึงทำผลงานอยู่แถวโซนตกชั้นทั้งๆ ที่เป้าหมายเริ่มฤดูกาลคือตารางครึ่งบน จนในที่สุดวันที่ 2 ตุลาคม 2565 บรูโน ลาจ จึงโดนปลดออกจากตำแหน่งหลังเกมพ่ายเวสแฮมต์ 2-0 4.สตีเวน เจอร์ราร์ด, แอสตัน วิลลา
อดีตตำนานหงส์แดงได้เจอบทเรียนสำคัญในอาชีพกุนซือครั้งใหญ่ จากการมารับงานบนพรีเมียร์ลีกกับ แอสตัน วิลลา ด้วยเป้าหมายที่ทีมสิงห์ผงาดต้องการคืออันดับครึ่งบนของตาราง แต่เจอร์ราร์ดที่ใช้งบเสริมทัพไปไม่น้อย กลับทำทีมป้วนเปี้ยนอยู่แถวโซนตกชั้น เนื่องจากต้องเผชิญปัญหาอาการบาดเจ็บจนปิดเทอมยาวของกองหลังตัวใหม่ ดิเอโก คาร์ลอส แถมผู้ช่วยคู่บุญอย่าง ไมเคิล บีล ที่ว่ากันว่าเป็นมันสมองของเจอร์ราร์ด ก็ดันมาลาออกไปรับงานคุมทีมเต็มตัวกระทันหัน ทำให้แอสตัน วิลลา ผลงานในสนามย่ำแย่ลงเรื่อยๆ เกมรุกไร้ไอเดีย เกมรับก็พลาดกันง่ายบ่อยๆ ส่งผลให้อดีตจอมทัพไดนาโมรายนี้ต้องปลิวตกเก้าอี้ในที่สุด 5. ราล์ฟ ฮาเซ่นฮึทเทิ่ล, เซาธ์แฮมป์ตัน
กุนซือออสเตรียฝีมือดีถูกวางตัวเข้ามาเพื่อปลุกปั้นทีมในระยะยาว แต่จนแล้วจนเล่าเวลาล่วงเลยเข้าปีที่สามปีที่สี่ เราได้เห็นเพียงแค่ความหวือหวาของสไตล์การเล่นเท่านั้น แฟนๆ ไม่สามารถสัมผัสผลงานที่จับต้องได้ของทัพนักบุญภายใต้การคุมทีมของ ฮาเซ่นฮึทเทิ่ล ได้เลย ไม่ว่าฟุตบอลจะมีทรงขนาดไหน แต่การที่คุมทีมมาสามปีไม่เคยทำทีมจบครึ่งบนของฤดูกาล ย่อมกลายมาเป็นความกดดันลึกๆ ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนมันขาดผึงในปีนี้ เมื่อกุนซือชาวออสเตรียตัดสินใจใช้ดาวรุ่งอย่างจริงจัง แต่ผลงานเขาก็ยังคงไม่กระเตื้องเช่นเคย 7 พฤศจิกายน ฮาเซ่นฮึทเทิ่ล โดนเด้งออกจากตำแหน่งหลังแพ้นิวคาสเซิลเละเทะ 4-1 โดยมี นาธาน โจนส์ มารับเผือกร้อนกับการคุมทีมที่อายุเฉลี่ยน้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีก 6. แฟรงค์ แลมพาร์ด,เอฟเวอร์ตัน
หลังพาทีมเอฟเวอร์ตันหนีตกชั้นได้สำเร็จเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ก่อนในปีนี้จะเปิดฤดูกาลด้วยสถิติเกมรับอันสวยหรู แต่เกมรุกยังเป็นสิ่งที่ซูเปอร์แฟรงค์ยังไม่สามารถจูนให้ทีมเข้าที่ได้ และเมื่อเก็บผลการแข่งขันไม่ได้หลายๆ นัดติดๆ กัน ทำนบเกมรับก็ค่อยๆ พังทลาย แลมพาร์ดไม่สามารถสร้างสมดุลให้เกิดขึ้นในทีมได้เลย อีกทั้งบรรดาผู้เล่นก็มีอาการบาดเจ็บรบกวนเป็นระยะๆ จนผ่านไป 20 นัด เดอะทอฟฟี่รั้งท้ายตารางอยู่ในอันดับที่ 19 ส่งผลให้อดีตตำนานเชลซีต้องระเห็จออกจากถิ่นเมอซี่ไซด์ในที่สุด 7.เจสซี่ มาร์ช, ลีดส์ ยูไนเต็ด
กุนซือชาวสหรัฐอเมริกาเข้ามารับไม้ต่อทีมยูงทองที่กำลังอ่อนแรงจากการซ้อมสุดโหดของ ‘บิเอลซ่าบอล’ ซึ่งแรกเริ่มมาร์ชก็ดูจะทำผลงานได้ดีตามสไตล์บอลเปลี่ยนโค้ช แต่แม้ในฤดูกาลนี้จะมีการเสริมทัพนักเตะที่เขาต้องการมาบ้างแล้ว ก็ดูเหมือนว่า ดีเอ็นเอของทีมที่แพ้ได้ทุกทีมชนะได้ทุกทีม จะฝังลึกเข้าในตัวนักเตะลีดส์ยูไนเต็ด เราได้เห็นเกมบุกอันบ้าคลั่งที่กล้าครองบอลขึงคู่แข่งแบบไม่สนวรรณะ จนกลายเป็นที่มาของเกมสกอร์สูง ที่ยิงกันเละเทะราวกับฟุตซอลที่มักจะมีลีดส์เป็นคู่ต่อสู้เสมอ ซึ่งทีมของมาร์ชก็หนักไปทางแพ้ซะส่วนมาก เพราะเมื่อคุณเล่นเกมรุกแล้วอาวุธที่มีไม่หนักพอ จบสกอร์ไม่ได้ ก็จะโดนสวนกลับบ่อยๆ ทำให้เกมรับที่แต่เดิมก็ไม่ได้ดีเด่อยู่แล้วรับภาระหนักเป็นพิเศษ โดนสวนกลับจนน็อคบ่อยๆ กลายเป็นที่มาของการเก็บได้เพียง 18 แต้มจาก 20 เกม เจสซี มาร์ช โดนปลดตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ไปตามระเบียบ 8.นาธาน โจนส์, เซาธ์แฮมป์ตัน
ถือว่าเป็นการปลดกุนซือคนที่ 2 ในฤดูกาลเดียวกันเลยสำหรับทีมนักบุญ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าผู้บริหารคิดอย่างไรถือเลือกกุนซือชาวเวลส์ที่ไม่ได้มีโปรไฟล์เริดหรูอะไรมารับงานยากที่ ราล์ฟ ฮาเซ่นฮึทเทิ่ล ทิ้งไว้ และก็เป็นไปตามคาด เมื่อโจนส์ก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ของทีมนักบุญดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย 0.38 แต้มคือคะแนนเฉลี่ยต่อนัดในเกมพรีเมียร์ลีกของกุนซือรายนี้ จากผลงาน 8 นัด เก็บชัยชนะได้เพียงแค่นัดเดียว และเกมที่โจนส์ชะตาขาดก็เป็นเกมที่น่าเขกกระโหลกสุดๆ เมื่อพวกเขาเป็นฝ่ายออกนำ วูล์ฟแฮมตันที่เหลือผู้เล่นแค่ 10 คนตั้งแต่ 20 นาทีแรกของเกม แต่สุดท้ายกลับรักษาสกอร์ไม่ได้โดนทีมหมาป่ากัดท้ายเกมพ่ายคาบ้าน 1-2 ทำให้นาธาน โจนส์ โดนเด้งจากเก้าอี้ไปตามระเบียบ ซึ่งนอกจากผลงานในสนามแล้วนั้น ก็ยังมีรายงานออกมาว่าบรรดาผู้เล่นซีเนียร์ของทีมนักบุญถึงขนาดรวมตัวกันคอมเพลนถึงวิธีการทำงานของกุนซือรายนี้กันเลยทีเดียว 9.ปาทริค วิเอร่า, คริสตัล พาเลซ
หลังจากพ่ายแพ้ให้กับไบร์ทตันไป 1-0 เมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา อดีตตำนานไอ้ปืนใหญ่ก็มีอันต้องกระเด็นออกจากตำแหน่งเก้าอี้กุนซือ ทั้งที่จริงๆ แล้ว ตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งเมื่อฤดูกาลก่อน อดีตกองกลางเลือดน้ำหอมทำผลงานได้ไม่เลว ปรับให้ทีม คริสตัล พาเลส เปลี่ยนจากฟุตบอลเกมรับจ๋าของปู่รอย กลายเป็นฟุตบอลสมัยใหม่ที่บดบี้คู่แข่งด้วยแทคติค พลังงาน และระเบียบวินัย แต่เมื่อล่วงเลยเข้าปี 2023 ทัพปราสาทเรือนแก้วก็เครื่องสะดุดเอาดื้อๆ ไม่ชนะใครเลยเกมแล้วเกมเล่า จนเป็นเวลาถึงเกือบ 3 เดือน ผู้บริหารจึงต้องตัดสินใจปลดวิเอร่าออกจากตำแหน่งในที่สุด ซึ่งก็กลายว่าเป็นต้องกลับไปใช้บริการของปู่รอย ฮอดจ์สัน วัย 75 ปี ที่กลับมาคราวนี้ ก็ทำลายสถิติผู้จัดการทีมพรีเมียร์ลีกอายุมากที่สุดที่ตัวเองเคยทำไว้ลงอีกรอบ 10.อันโตนิโอ คอนเต, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์
กุนชือจอมเขี้ยวจากอิตาลี กลายเป็นอีกคนที่ต้องถูกปลดออกจากทีมตามคาด หลังเริ่มมีปัญหาฟอร์มกระท่อนกระแท่น และกระทบกระทั่งกับบรรดาผู้บริหารในสโมสรมาตลอด ซึ่งฟางเส้นสุดท้ายก็คงจะเป็นการวิพากษ์ลูกทีมและผู้บริหารของสโมสรผ่านสื่อหลังจากที่พึ่งตกรอบฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก มาสดๆ ร้อนๆ และในลีกตำแหน่งพื้นที่ยุโรปก็เริ่มสั่นคลอน ซึ่งการที่ทีมหมดลุ้นแชมป์ในทุกรายการอย่างแทบจะแน่นอนแล้วในปีนี้ ส่งผลให้ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ทำสถิติไร้แชมป์เป็นปีที่ 15 ติดต่อกัน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าระดับ มูริญโญ่ หรือ คอนเต ยังทำลายสถิติอันน่าเศร้าของสเปอร์ไม่ได้ จะมีผู้จัดการทีมคนใดสามารถกอบกู้ไก่เดือยทองตัวนี้กลับมาสู่ความสำเร็จได้อีกครั้ง 11.แบรนเดน ร็อดเจอร์ส, เลสเตอร์ ซิตี้
หลังจากผลงานย่ำแย่อย่างต่อเนื่องรั้งตำแหน่งบ๊วยมายาวตั้งแต่ต้นฤดูกาล เพราะต้องประสบกับปัญหาไม่สามารถเสริมทีมได้จากกฏทางการเงิน ซึ่งสโมสรนำไปเสริมสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ แต่ร็อดเจอร์สก็ยังคงได้รับโอกาสอย่างต่อเนื่อง เพื่อกู้วิกฤตของทีมกลับมาอีกครั้งด้วยตัวของเขาเอง เหตุหนึ่งก็เพราะปัญหาทางการเงินที่กล่าวไปข้างต้น แต่ตัวร็อดเจอร์สเองก็สร้างผลงานน่าจดจำไว้ที่สโมสรอย่างการพาทีมจิ้งจอกสยามคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ซึ่งร็อดเจอร์ส ก็ตอบแทนความไว้ใจด้วยการพาทีมเก็บชัยชนะกระเตื้องขึ้นมาได้วูบหนึ่ง แต่พอเมื่อตลาดหน้าหนาวที่พวกเขาเริ่มเซ็นสัญญานักเตะได้แล้วนั้น ผลงานของทีมกลับตกต่ำลงอีกครั้งแม้จะได้นักเตะใหม่มาร่วมทัพ ทำให้หลังแพ้ คริสตัล พาเลซ ของปู่รอยชนิดว่ารูปเกมเป็นรองสุดๆ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา บอร์ดบริหารจึงหมดความอดทนปลดร็อดเจอร์สออกจากตำแหน่ง
12.แกรห์ม พอตเตอร์, เชลซี เอฟซี
นี่คือกุนซือรายล่าสุดที่โดนความเดือดของพรีเมียร์ลีกเล่นงานเข้าอย่างจัง หลังที่เจ้าตัวรับงานกับสิงโตน้ำเงินครามต่อจากโทมัส ทูเคิล แต่กลับทำผลงานชนิดว่าย่ำแย่จนน่าใจหาย ทั้งๆ ที่เคยทำผลงานได้สุดปังกับสโมสรเดิมอย่างไบร์ทตัน จนท็อดด์ โบห์ลี่ ต้องจ่ายค่าฉีกสัญญาเขาและทีมงานเพื่อดึงตัวมาจากทัพนกนางนวลเป็นจำนวนเงินกว่า 20 ล้านปอนด์ แถมยังมีการเซ็นสัญญาผู้เล่นในตลาดหน้าหนาวไปหลักร้อยล้านปอนด์ แต่เชลซีในมือของพอตเตอร์กลับกลายเป็นทีมที่ไม่มีความแน่นอน หาแผนการเล่นที่เหมาะสมของตัวเองไม่เจอ เก็บแต้มได้น้อยสุดๆ โดยเฉพาะเกมในบ้านที่ควรจะเป็นจุดแข็ง พอตเตอร์เก็บชัยชนะได้เพียงแค่ 4 เกมจาก 11 เกมเท่านั้น สุดท้ายถึงแม้จะทำผลงานผ่านเข้ารอบฟุตบอลยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ แต่ผลงานอันดับ 11 ในฟุตบอลลีกกับการลงทุนระดับ 500 ล้านปอนด์คงเป็นสิ่งที่เสี่ยท็อดด์ให้อภัยไม่ได้อีกต่อไป พอตเตอร์โดนปลดสดๆ ร้อนๆ เมื่อเช้าวันจันทร์ที่ผ่านมาหลังพ่ายแอสตัน วิลล่า คาบ้าน 0-2