สำหรับกลุ่ม ดี ก็เป็นกลุ่มที่สี่แล้ว โดยกลุ่มนี้จะมี ทีมชาติฝรั่งเศส, ทีมชาติออสเตรเลีย, ทีมชาติเดนมาร์ก และ ทีมชาติตูนิเซีย ที่ทีมตัวเต็งน่าจะหนีไม่พ้นทีมแชมป์เก่าเมื่อสี่ปีที่แล้วอย่างฝรั่งเศส แต่ก็ประมาทเรื่องของอาถรรพ์แชมป์เก่าไม่ได้เหมือนกัน ในขณะที่อีกทีมที่มีลุ้นมากหน่อยก็คือเดนมาร์ก ส่วนออสเตรเลียและตูนิเซียถึงโอกาสจะดูน้อย แต่ก็น่าจะพอลุ้นสร้างเซอร์ไพรส์เป็นทีมสอดแทรกได้บ้าง ถ้าทำผลงานได้ดี และขุมกำลังตัวผู้เล่นของแต่ละชาติจะเป็นอย่างไร ติดตามกับ SPACEBAR ไปพร้อมๆ กันได้เลย

France
เริ่มกันที่ทีมแชมป์เก่าจากฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย เมื่อ 4 ปีที่แล้วอย่าง ทีมชาติฝรั่งเศส ที่เข้ามาเล่นฟุตบอลโลกครั้งนี้เป็นครั้งที่ 16 แล้ว พ่วงมาด้วยดีกรีแชมป์โลก 2 สมัย โดยในครั้งนี้พวกเขาน่าจะต้องระวังในเรื่องของอาถรรพ์แชมป์เก่าที่มักจะไปไม่ได้ไกลในหนต่อมา รอบนี้ยังคงนำมาด้วย Didier Deschamps เฮดโค้ชคนเดิม พร้อมกับผู้เล่นที่จัดเต็ม โดยก่อนหน้านี้ทาง Presnel Kimpembe และ Christopher Nkunku เพิ่งจะถอนตัวไปเพราะอาการบาดเจ็บ แต่นอกนั้นก็เรียกได้ว่าพร้อมพอสมควรทั้งแนวรุกอย่าง Karim Benzema เจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ครั้งล่าสุด Kylian Mbappe กองหน้าตัวอันตราย Raphaël Varane ที่พร้อมเป็นตัวหลักในแนวรับ และการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของแผงมิดฟิลด์เลือดใหม่อย่าง Aurelien Tchouameni, Eduardo Camavinga จากทั้งหมดที่เล่ามา เราก็คงต้องมาดูกันว่าพวกเขาจะทำลายอาถรรพ์แชมป์เก่า ก้าวไปป้องกันแชมป์ได้สำเร็จเป็นทีมที่สามหรือเปล่า
Australia
สำหรับทีมต่อมาเป็นอีกหนึ่งตัวแทนจากทวีปเอเชียนั่นก็คือ ทีมชาติออสเตรเลีย ที่ผ่านการลงเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมาแล้ว 5 สมัยด้วยกัน ทำผลงานดีที่สุดคือจบรอบน็อคเอาท์ 16 ทีมสุดท้าย นอกนั้นคือจบที่รอบแบ่งกลุ่มทั้งหมด เช่นเดียวกับเมื่อสี่ปีที่แล้วบนดินแดนหมีขาว มาในครั้งนี้โค้ช Graham Arnold เรียก 26 คนสุดท้ายที่ต้องบอกว่าค่อนข้างเป็นเลือดใหม่ทั้งหมด ขนาดคนที่ติดทีมชาติมากที่สุดสองคนอย่าง Mathew Leckie และ Mat Ryan ผู้รักษาประตูกัปตันทีม ยังติดไม่ถึงคนละ 100 นัด ซึ่งทำให้ถ้ามองจากภาพรวมโอกาสเข้ารอบของทัพ ซอคเกอร์รูส์ ค่อนข้างยากพอสมควร มีสิทธิจอดป้ายแรกเพียงแค่รอบแบ่งกลุ่มเท่านั้น
Denmark
ต่อกันที่อีกหนึ่งทีมจากทวีปยุโรปกับทีมอันดับที่สิบของโลกอย่าง ทีมชาติเดนมาร์ก ที่ประกาศรายชื่อครบ 26 คนสุดท้ายออกมาเรียบร้อยแล้ว โดยฟุตบอลโลกหนนี้ถือเป็นครั้งที่ 6 ของพวกเขา สำหรับผลงานที่ดีที่สุดที่เคยทำได้คือรอบก่อนรองชนะเลิศในปี 1998 ซึ่งในปีนี้ยังนำมาโดยเฮดโค้ช Kasper Hjulmand ที่พาทีมทะลุถึงรอบรองชนะเลิศศึกฟุตบอลยูโร 2020 ที่ผ่านมา ในส่วนของขุมกำลังก็นำมาโดยนักเตะประสบการณ์สูงทั้ง Kasper Schmeichel, Daniel Wass, Simon Kjaer, Pierre-Emile Hojbjerg, Yussuf Poulsen และที่น่าจับตามองมากสุดก็คือ Christian Eriksen ที่หายจากปัญหาสุขภาพ แล้วทำผลงานกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ดีมากๆ ต้องรอดูว่าผู้เล่นชุดนี้ของทัพ ‘โคนม’ จะสร้างบิ๊กเซอร์ไพรส์ทะลุเข้าไปถึงรอบลึกๆ ได้เหมือนตอนบอลยูโรไหม
Tunisia
ปิดท้ายกันด้วยตัวแทนจากทวีปแอฟริกาอย่าง ทีมชาติตูนิเซีย ที่เข้าสู่บอลโลกรอบสุดท้ายหนนี้เป็นครั้งที่ 6 โดยผลงานที่ดีที่สุด 5 ครั้งก่อนหน้านี้ของพวกเขาคือจอดป้ายแรกที่รอบแบ่งกลุ่มทั้งหมด ซึ่งในครั้งนี้ Jalel Kadri เฮดโค้ชใหม่ถอดด้ามที่เพิ่งเข้ามารับงานในปีนี้ และพาทีมเอาชนะทีมชาติมาลี เข้ามาเล่นในรอบสุดท้าย ที่ถึงแม้จะมีขุมกำลังนักเตะตัวหลักมาค่อนข้างครบถ้วนอย่างเช่น Aymen Mathlouthi, Ali Maaloul, Ferjani Sassi, Ellyes Skhiri, Youssef Msakni และ Wahbi Khazri แต่จากผลงานในครั้งก่อนๆ หลายที่ก็ยังมองตรงกันว่าโอกาสในการเข้ารอบของพวกเขาค่อนข้างน้อยมากๆ และน่าจะจบเส้นทางเพียงแค่รอบแรกเหมือนอย่างทุกครั้งที่ผ่านมาWorld Cup 2022 Team Series
Group A: World Cup 2022: ส่องขุมกำลังทีมชาติในศึกฟุตบอลโลก 2022 กลุ่ม เอ
Group B: World Cup 2022: ส่องขุมกำลังทีมชาติในศึกฟุตบอลโลก 2022 กลุ่ม บี
Group C: World Cup 2022: ส่องขุมกำลังทีมชาติในศึกฟุตบอลโลก 2022 กลุ่ม ซี
Group A: World Cup 2022: ส่องขุมกำลังทีมชาติในศึกฟุตบอลโลก 2022 กลุ่ม เอ
Group B: World Cup 2022: ส่องขุมกำลังทีมชาติในศึกฟุตบอลโลก 2022 กลุ่ม บี
Group C: World Cup 2022: ส่องขุมกำลังทีมชาติในศึกฟุตบอลโลก 2022 กลุ่ม ซี